วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

น้ำพริกเผาใส่เปราะหอม โดย... Thaifoodmaster

น้ำพริกเผาใส่เปราะหอม โดย... Thaifoodmaster

สวัสดีครับเพื่อนสมาชิกทุกๆคน วันนี้หนุมานจะมาเสนอสูตรน้ำพริกเผาใส่เปราะหอมและกุ้งแห้ง น้ำพริกเผาสมัยก่อนมีอยู่สองชนิด คือ น้ำพริกผัด และน้ำพริกเผา ซึ่งในสมัยนี้น้ำพริกเผาที่ขายโดยทั่วไปแบบที่มีน้ำมันลอยอยู่บนหน้าคือน้ำพริกผัด ในวันนี้หนุมานจะมานำเสนอน้ำพริกเผาแบบผัด น้ำพริกผัดเป็นน้ำพริกที่คิดขึ้นมาเพื่อให้เก็บเอาไว้ทานได้นานๆ ซึ่งมีคุณลักษณะเฉพาะตัว และที่สำคัญมีความอร่อยมากด้วย นี่คือตัวอย่างของความงามที่แท้จริงของอาหารไทย



เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมได้รับเกียรติอย่างสูงไปออกรายการ Princess Diary ของทูลกระหม่อมหญิงอบุลรัตน์ฯ ซึ่งพระองค์เป็นผู้ดำเนินรายการ รายการจะออกอากาศประมาณปลายเดือนสิงหาคม ถ้าทราบวันที่ออกอากาศแน่นอนแล้วจะมาบอกอีกครั้งครับ ในรายการผมได้รับเกียรติที่จะทำส้มตำถวายแก่พระองค์ด้วย (รายการออกอากาศวันศุกร์ที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๓ - หมูแดง)



ส่วนผสม

◊ พริกแห้งเม็ดใหญ่ ๒๐ เม็ด
◊ กุ้งแห้ง ๖ ช้อนโต๊ะ
◊ หอมแดง ๑/๒ ถ้วย (ประมาณ ๘ หัว)
◊ กระเทียม ๑/๒ ถ้วย (ประมาณ ๑๐ กลีบใหญ่)
◊ เปราะหอม ๗-๘ แว่น
◊ กะปิ – คั่วให้หอม ๔ ช้อนโต๊ะ
◊ น้ำปลา ๔ ช้อนโต๊ะ
◊ น้ำมะขามเปียก ๑/๒ ถ้วย
◊ น้ำตาลมะพร้าว ๒ ช้อนโต๊ะ
◊ น้ำมันสำหรับผัด

นำพริกแห้งเม็ดใหญ่มาแกะเอาเม็ดออก



นำพริกแห้งไปแช่น้ำ



เอาขึ้นผึ่งให้สะเด็ดน้ำ



นำกุ้งแห้งไปล้างน้ำให้สะอาด เอาขึ้นผึ่งให้แห้ง



นำหอมแดง กระเทียม ปลอกเปลือกออก ล้างน้ำให้สะอาด และผึ่งให้แห้ง



นำพริกแห้ง กุ้งแห้ง หอมแดง และกระเทียม ไปตากแดดให้แห้ง หรือ อบในเตาอบในอุณหภูมิ ๕๐ องศาจนแห้งก็ได้ เพื่อลดความชื้นและช่วยทำให้สามารถเก็บได้นานขึ้น



ใส่น้ำมันลงในกระทะแล้วนำพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม เปราะหอม กุ้งแห้ง และกะปิคั่ว ผัดให้แห้ง จนมีกลิ่นหอมและเหลืองกรอบที่ละอย่าง เอาขึ้นผึ่งให้สะเด็ดน้ำมัน



โขลกเปราะหอมให้ป่น



นำกุ้งแห้งลงไปโขลกจนป่นเป็นฝอย เสร็จแล้วพักในถ้วย



นำพริกแห้งลงไปโขลกจนละเอียด



นำหอมแดง และกระเทียม ลงไปโขลกให้เข้ากัน



จากนั้นใส่กะปิ ลงโขลกให้เข้ากันอีกครั้ง



เติมเปราะหอม และกุ้งแห้งป่นฝอยที่โขลกไว้แล้วลงไป



ปรุงรสด้วยน้ำปลา



ใส่น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลมะพร้าวลงไป



แล้วคนให้เข้ากัน



ตั้งกระทะใส่น้ำมัน แล้วนำน้ำพริกที่ได้ลงผัดในน้ำมันให้สุกหอม



น้ำพริกผัดเสร็จแล้วครับ



เปราะหอมสามารถหาซื้อได้ตามตลาดสดทั่วไป แถวร้านที่ขายของพวกของแห้ง เครื่องเทศต่างๆ หรือตามซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มีครับ เปราะหอมมีกลิ่นหอม หัวกลมเหมือนหัวกระชาย หัวมีรสเผ็ดขม ชื่อพื้นเมือง เช่น เปราะหอม หอมเปราะ ว่านหอม ว่านตีนดิน ว่านแผ่นดินเย็น

credit:http://www.kruaklaibaan.com/forum/index.php?showtopic=6324

น้ำพริกเผาแบบผัด

น้ำพริกเผา โดย... @ - ENYA - @

วันนี้พิมเอาน้ำพริกเผามาฝากนะคะ ไม่พูดพล่ามทำเพลงกันเลย มาดูหน้าตาน้ำพริกเผาของพิมก่อนดีกว่า ในรูปนี้เป็นน้ำพริกเผาแบบผัดนะคะ เก็บไว้ได้นานหน่อย แล้วก็เอาน้ำมันพริกเผาไปใส่ต้มยำได้ค่ะ



มาดูส่วนผสมกันก่อนละกันค่ะ

ส่วนผสม

◊ พริกแห้งเม็ดใหญ่ ๕๐ กรัม
◊ พริกแห้งเม็ดเล็ก ๔๐ เม็ด
◊ หอมแดง ๑ ถ้วย
◊ กระเทียม ๑/๒ ถ้วย
◊ เกลือ นิดหน่อย
◊ พริกแห้ง ก็หั่นสักขนาดข้างบนนะคะ
◊ หอมแดง กับกระเทียมก็ หั่นหยาบๆ ค่ะ ไม่ต้องบางเหมือนตอนเอาไปเจียวนะคะ
◊ จากนั้นพอเตรียมของเรียบร้อย ก็ตั้งกระทะเพื่อจะคั่วพริก หอม กระเทียม โดยปรกติเนี่ย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะใช้วิธีเผาเอา แต่ใช้วิธีคั่ว หรือย่างในเตาอบก็ได้ค่ะ
◊ พอกระทะร้อน ใส่พริกทั้ง ๒ ชนิดลงไปคั่วๆ ค่ะ



คั่วไปเรื่อยๆ ใช้ไฟกลางค่อนไปทางอ่อน หมั่นพลิกกลับไปมาเป็นระยะ ระวังไหม้นะคะ



พอได้สีประมาณนี้ ก็เอาขึ้นตักใส่จานได้เลยค่ะ



จากนั้นหันมาคั่วหอมกระเทียมต่อ



คั่วไปสักพัก ให้หอมกระเทียมสุก และเริ่มจะเกรียมกว่าในภาพนี้นิดๆ ก็ใช้ได้ละค่ะ แต่อย่าให้ไหม้นะ เดี๋ยวจะขม



พอคั่วส่วนผสมทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการดับไฟได้เลยค่ะ ต่อไปนี้เราก็ต้องมาเริ่มโขลกๆ ตำๆ กันแหละ อุปกรณ์ที่เราใช้โขลกหรือตำ คือครกหินใบใหญ่ใบนี้แหละค่ะ แต่ถ้าใครไม่มีครก จะใช้เครื่องปั่น หรือพวก Food Processor เอาก็ได้ค่ะ ตามสะดวก



เริ่มต้นด้วยการใส่พริกคั่วแล้วลงไป โขลกๆ ตำๆ ไปสักแป๊บค่ะ เดี๋ยวพริกก็จะแหลกแล้ว



จริงๆเนี่ย พิมให้น้องมาช่วยตำพริกตอนที่พิมคั่วหอมกระเทียมค่ะ แต่สงสัยด้วยแรงช้าง บวกกับคุยไปตำไป แถมพริกยังกรอบมาก ตำง่าย ผลที่ได้ พริกคั่วเลยออกมาละเอียดอย่างนี้ กลายเป็นพริกป่นไปเลยค่ะ จริงๆ ต้องหยาบกว่านี้สักหน่อยนะคะ บางคนอาจจะตำพริกพร้อมหอมและกระเทียมเลยก็ได้นะคะ เลือกเอาตามสะดวก แต่พอดีน้องชายพิมเขาอาสาจะตำพริกให้ก่อน ก็เอาค่ะ ไม่ขัดศรัทธา



จากนั้นคดพริก พักใส่ถ้วยเอาไว้ก่อน หันมาตำหอมกระเทียมกัน



โขลกๆ ตำๆ ไปเรื่อยๆ จนหอมกระเทียมแหลกกว่าในภาพนี้สักหน่อยนะคะ



จากนั้นใส่พริกที่เราโขลกไว้ก่อนหน้านี้ ลงไปผสม แล้วก็โขลกให้เข้ากันดี



และแล้วเราก็ได้มาแล้วค่ะ น้ำพริกเผาแบบไม่ผัด ซึ่งน้ำพริกเผาตรงนี้ เอาไปใส่พวกยำกบ ยำหัวปลีแบบสุก อร่อยมากจ้า หรือจะเอาไปผสมน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ทำเป็นน้ำจิ้มปลาหมึกย่างก็ดีค่ะ หรือจะใส่กุ้งแห้งป่นลงไปด้วย กลายเป็นน้ำพริกเผากุ้งแห้ง ใช้คลุกกินกับข้าวก็อร่อยดีนะคะ



แต่หากใครทำไว้เยอะ กลัวจะเสีย กินไม่ทัน เรามาเอาน้ำพริกเผาไปผัดกันค่ะ ตั้งกระทะเลย ใส่น้ำมันไปด้วย มากน้อยตามชอบ



พอน้ำมันอุ่นๆ ใส่พริกเผาเมื่อกี้ลงไปได้เลยค่ะ แล้วก็ใช้ตะหลิวยีให้กระจาย



แล้วเราก็จะได้มาเป็นน้ำพริกเผาแบบนี้แหละค่ะ ในถ้วยจะมีน้ำมันค่อนข้างเยอะ เพราะพิมจะเอาน้ำมันน้ำพริกเผาไปไว้ใส่ต้มยำค่ะ



บางคนอาจจะมีวิธีทำน้ำพริกเผาที่แตกต่างกันไปจากนี้ เช่น จากการคั่วก็เอาไปปิ้งบนเตาถ่าน หรือว่าปิ้งในเตาอบแทน จากการตำแบบละเอียด ก็อาจจะตำหยาบกว่านี้มากกว่า หรือบางคนตำพร้อมกันหมดเลยก็ได้ค่ะ แล้วแต่ความชอบ เลือกเอาตามถนัดนะคะ วันที่ทำน้ำพริกเผาเนี่ย พิมแบ่งน้ำพริกเผาสดไปทำน้ำจิ้มปลาหมึกย่างค่ะ (ในภาพนี้แหละ) อร่อยดีนะคะ เสียแต่ลืมถ่ายรูปไว้ค่ะ



ข้อความถูกโพสต์ขึ้น โดย... Web Master
สาธิตและภาพประกอบ โดย... @ - ENYA - @ ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้

ต้มยำกุ้งน้ำข้น

เครื่องปรุง

◊ กุ้งสด จุ๋มใช้ ๒ ขีด ประมาณ ๑๕ ตัวค่ะ ไปแค่ตลาดนัด มันมีแต่ไซส์นี้อ่ะจ้า
◊ เห็ดฟาง ๑ ขีด ประมาณ ๑๐-๑๒ ดอกค่ะ ใครจะใช้เห็ดนางฟ้าหรือเห็ดนางรมแทนก็ได้จ๊ะ
◊ มะนาว จุ๋มใช้ ๓ ลูก บีบน้ำได้ประมาณ ๓ ช้อนกินข้าวแบบสั้น
◊ พริกขี้หนูเม็ดเล็ก จุ๋มใช้ ๑๕ เม็ดค่ะ
◊ หัวหอมแดง ๓-๔ หัว
◊ ตะไคร้ จุ๋มใช้ ๒ ต้นไม่ใหญ่ค่ะ
◊ ข่าแก่ ๕ แว่น
◊ ใบมะกรูด ๔-๕ ใบ
◊ รากผักชี ๒ ราก
◊ ผักชี ๒ ต้น ใครจะเพิ่มผักชีฝรั่งก็ตามชอบใจนะคะ แต่จุ๋มไม่มี เลยไม่ได้ใส่ค่ะ
◊ น้ำพริกเผา
◊ น้ำปลาดี
◊ นมข้นไม่หวาน (จุ๋มใช้คาร์เนชั่น)
◊ น้ำซุป จุ๋มไม่มีค่ะ ใช้น้ำเปล่าแล้วใช้รสดีแทนค่ะ แหะ แหะ
**กุ้งสด ล้าง ลอกเปลือกออก จะเหลือหัวและหางหรือไม่ตามแต่ชอบใจค่ะ ผ่าหลังเอาเส้นดำออกค่ะ
**จานนี้เป็นพวกเครื่องต้มยำค่ะ เห็ดฟาง เกลาดินออก ฝานโคนออกบ้าง ล้างน้ำ ผ่าครึ่งหรือ ๔ แล้วแต่ดอกเล็กดอกใหญ่ค่ะ
◊ หอมแดง ปลอกเปลือกออก ล้างให้สะอาด เอาสากบุบๆไว้ค่ะ
◊ ตะไคร้ ล้างให้สะอาด บุบๆหั่นเฉียงหรือหั่นตรงแล้วแต่ชอบค่ะ
◊ ข่า ลอกเปลือกออกนิดๆล้าง หั่นแว่นๆบางๆไว้ค่ะ
◊ รากผักชี ล้างดินออกให้หมด บุบๆไว้ค่ะ
◊ ใบมะกรูด ล้างให้สะอาด ฉีกๆเอาเส้นกลางออกด้วยค่ะ



1.ผักชี ล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อนขนาด ๑ เซนติเมตรหรือครึ่งนิ้วไว้ค่ะ
2.พริกขี้หนู ล้างให้สะอาด บุบๆไว้ค่ะ มะนาว ล้างให้สะอาด ผ่าเสี้ยว บีบน้ำใส่ถ้วยพริกขี้หนูไว้ค่ะ
3.หาถ้วยอีกใบ ตักน้ำพริกเผาใส่ถ้วยค่ะ จุ๋มใส่ราวๆนี้อ่ะจ้า ๑ ช้อนกินข้าวพูนๆเลย จากนั้นเติมนมข้นไม่หวานใส่ไปค่ะ อันนี้ต้องกะเอาเองว่าชอบข้นมากข้นน้อย จุ๋มใส่ ๑/๓ ถ้วยตวงของเหลว ประมาณ ๔๕ ซีซีค่ะ คนๆ บี้ๆ อย่าให้น้ำพริกเผาเป็นก้อนค่ะ จะใช้วิธีทยอยใส่นมลงในถ้วยก็ได้ค่ะ ใส่น้ำพริกเผาราวๆนี้ค่ะ ยังไงลองชิมกันตามใจชอบนะคะ ถ้าไม่พอใส่เพิ่มตอนหลังได้ค่ะ ใส่มากเลยตอนแรกจะแก้ยากถ้ามันมากเกินไปนะจ้า
4.ใส่นมไป แล้วใช้ช้อนบี้ๆน้ำพริกเผาอย่าให้เป็นก้อน ก็ได้มาหน้าตาแบบนี้นะจ๊ะ
5.ตั้งน้ำ ๑ หม้อไฟแรง จุ๋มใช้น้ำ ๑ ๑/๒ ถ้วยตวงของเหลว (๓๔๐ ซีซี) พอน้ำเดือดใส่หัวหอม รากผักชี ข่า ลงไปค่ะ
6.น้ำเดือดอีกทีใส่น้ำปลาและก็รสดีลงไปค่ะ วันนี้จุ๋มใช้น้ำเปล่าเลยแอบใส่รสดีไป ๑/๒ ช้อนชา แหะ แหะ ชิมดูนะคะ ให้มีรสเค็มเผื่อไว้ตอนใส่เห็ดด้วยค่ะ เพราะเห็ดออกน้ำ เดี๋ยวจะจืดลง
7.น้ำเดือดอีกทีใส่กุ้งลงไปจ๊ะ
8.ตามด้วยเห็ดเลย ไม่ต้องรอให้กุ้งสุกจ้า จริงๆแทบจะใส่พร้อมกันเลยอ่ะ เพราะเทกุ้งปุ๊บ ตามด้วยเห็ดปั๊บ
9.เปิดไฟแรงๆนะจ๊ะ กะเวลาประมาณ ๒ นาที ใส่ตะไคร้และใบมะกรูด และรอเดือดแรงๆแบบนี้สักแป๊บปิดเตาค่ะ จุ๋มไม่ใส่ตะใคร้กับใบมะกรูดพร้อมหัวหอม ข่า และรากผักชีเพราะบางทีน้ำมันจะเขียวๆอ่า ไม่ชอบอ่ะ ยังไงถ้าใครจะเปลี่ยนไปใส่ตอนแรกหมดเลยก็ได้นะ
10.พอปิดเตาปุ๊บก็เทถ้วยน้ำพริกเผากะนมที่ผสมกันไว้เลยคะ บางคนอาจจะเทแล้วค่อยปิดเตา แต่จุ๋มชอบปิดเตาก่อนเทนมกะน้ำพริกเผาลงไปค่ะ เพราะบางทีนมถูกความร้อนแล้วมันก็เป็นลูก น้ำต้มยำมันไม่เนียนๆง่ะ จุ๋มชอบแบบเนียนๆน่ะค่ะ พอเทนมกะน้ำพริกเผาแล้วก็คนๆให้เข้ากันจ้า
11.จากนั้นค่อยเติมพริกขี้หนูและน้ำมะนาวลงไปค่ะ ชิมๆดูอีกที ถ้าไม่เค็มเติมน้ำปลาไปตามชอบค่ะ หรือถ้าไม่เปรี้ยวไม่เผ็ดสะใจก็เติมพริกและมะนาวเหมือนกันจ้า ตักใส่ถ้วย โรยผักชีค่ะ แล้วก็จะได้เต็มชามนี้เลยอ่ะ

ทานกับข้าวสวยเนอะ
สูตรนี้มีเพื่อนๆในพันทิบเอาไปทำหลายคนแล้วค่ะ ติดใจอย่างแรง ปรกติเค้าบอกว่าสามีเคยบอกว่าเค้าทำต้มยำไม่อร่อยเลย วันก่อนเค้าหลังไมค์มาถามจุ๋มแล้วก็ไปทำ เค้าหลังไมค์มาตอบว่า คราวนี้สามีชมใหญ่ไม่หยุดปากเลย เป็นคนท้องด้วยคะ ได้มีของอร่อยๆ ทานกันถ้วนหน้าจุ๋มก็ดีใจสุดแสนเลยค่ะ แบบว่าอ่านไปยิ้มไปเลยอ่ะ

ต้มข่าไก่่

เครื่องปรุง
เนื้อไก่ 300 กรัม
กะทิ 1 กระป๋อง
เห็ด 6 ดอก
ข่า 8-9 แว่น
พริกสด 4-5 เม็ด
ใบมะกรูด 6-7 ใบ
ตะไคร้ 2 ต้น
ผักชี 2 ต้น
เกลือป่น 1 ช้อนชา
ซีอิ้วขาว (หรือน้ำปลา) 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 2 ถ้วย


วิธีทำ
1. นำข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดมาล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วหั่นข่าเป็นแว่น หั่นตะไคร้เฉียงๆ และฉีกเส้นกลางใบมะกรูดออก พักไว้


2. นำเห็ด พริกสด และผักชีมาล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วหั่นเห็ดออกเป็น 6-8 ส่วน หั่นพริกเฉียงๆ แล้วซอยผักชีหยาบๆ พักไว้


3. นำเนื้อไก่มาล้างให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วหั่นเป็นชิ้นขนาดพอคำ


4. เปิดเตาที่ไฟแรงปานกลาง นำหางกะทิและน้ำเปล่า 1 ถ้วยใส่ลงหม้อ รอจนเดือดจึงใส่ข่า ตะไคร้และใบมะกรูดลงไป เคี่ยวไปประมาณ 5 นาที


5. ใส่เนื้อไก่ลงไป รอจนเนื้อไก่เริ่มสุกจึงใส่เกลือป่นลงไป คนให้เข้ากัน


6. ใส่หัวกะทิลงไป คนให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำเปล่าลงไปอีก 1 ถ้วย รอซักพักจนน้ำแกงเดือด


7. ใส่เห็ดและพริกที่หั่นไว้ลงไป คนให้เข้ากัน แล้วปิดเตาได้


8. ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว (หรือน้ำปลา) น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว ชิมรสตามชอบ จากนั้น โรยด้วยผักชีและคนให้เข้ากัน


9. ตักต้มข่าไก่ใส่ชาม โรยหน้าด้วยผักชีเล็กน้อย จากนั้นก็ยกเสิร์ฟได้เลยค่ะ

ส้มตำไทย

* มะละกอดิบหั่นฝอย 2 ถ้วยตวง

* แครอทหั่นฝอย 1/2 ถ้วยตวง

* ถั่วฝักยาว 1/2 ถ้วยตวง (หั่นความยาวประมาณ 1" )

* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

* น้ำตาลปี๊บ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ

(ถ้าไม่มีสามารถใช้น้ำตาลทรายแทนได้)

* น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

* มะเขือเทศ 1/2 ถ้วยตวง (หั่นครึ่ง)

* กุ้งแห้ง 1/3 ถ้วยตวง

* ถั่วลิสง 1/4 ถ้วยตวง

* พริกขี้หนู 10 เม็ด (ปรับเพิ่ม/ลด ตามความต้องการ)

* กระเทียมสด 5 กลีบ
วิธีทำทีละขั้นตอน

1. ใส่กระเทียมและพริกลงในครก ใช้สากตำพอแหลก จึงใส่กุ้งแห้งและตำต่อไปอีกสักพัก

2. ใส่น้ำตาลปี๊บ ตำต่อจนน้ำตาลละลาย จึงใส่มะละกอฝอย, แครอทฝอย, ถั่วฝักยาว, มะเขือเทศ, ถั่วลิสง ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำมะนาว จากนั้นจึงตำต่อจนส่วนผสมทั้งหมดเคล้ากันทั่ว

3. ปรุงรสให้ถูกปากด้วย น้ำตาล, น้ำปลา หรือน้ำมะนาวเพิ่ม รสดั้งเดิมจะมีรสหวาน, เผ็ด และเปรี้ยวพอๆกัน

4. ตักใส่จานและโรยหน้าด้วยถั่วลิสง เสิรฟพร้อมผักสด (กะหล่ำปลี, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้งไทย, อื่นๆ) และข้าวเหนียวร้อนๆ

เสือร้องไห้

* เนื้อวัว 400 กรัม

* ซิอิ๊ว 3 ช้อนโต๊ะ

* พริกไทย 0.5 ช้อนชา

* น้ำปลา 1 ช้อนชา (สำหรับหมักเนื้อ)

* น้ำปลา 1/3 ถ้วยตวงสำหรับทำน้ำจิ้ม

* น้ำ 1/3 ถ้วยตวง

* น้ำมะนาว 1/3 ถ้วยตวง

* หอมแดงซอย 2 หัว

* ผักชีซอย 1 ช้อนชา

* ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ

* พริกป่น 2 ช้อนชา




วิธีทำทีละขั้นตอน

1. หมักเนื้อด้วยพริกไทย, ซิอิ๊ว และน้ำปลา ทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที

2. นำเนื้อที่หมักแล้วไปย่างจนสุกทั่ว เสร็จแล้วนำไปหั่นเป็นชิ้นบางๆ และจัดเรียงไว้ในจาน เสริฟพร้อมน้ำจิ้มกับข้าวสวยร้อนๆ หรือเป็นกับแกล้ม

3. วิธีทำน้ำจิ้มเสือร้องไห้ : นำน้ำปลา, น้ำมะนาว, หอมแดง, ข้าวคั่ว, ผักชี และพริกไทยป่นผสมกันให้เข้ากันดี จึงนำไปใส่ถ้วยน้ำจิ้มพร้อมเสริฟ

หมายเหตุ : ควรจะเตรียมน้ำจิ้มให้พร้อมก่อนย่างเนื้อ

ต้มแซ่บเนื้อ

* เนื้อวัวปนเอ็นหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 1 ถ้วยตวง

* พริกขี้หนู 10 - 15 เม็ด (ปรับเพิ่ม/ลด ตามความชอบ)

* ตะไคร้ 2 ต้น (ทุบและหั่นเป็นท่อน)

* ข่าอ่อน 6 แว่น

* ใบมะกรูด 6 ใบ

* ผักชีฝรั่งหั่นหยาบ 3 ต้น

* น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

* น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

* ข้าวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ (โขลกให้ละเอียด)

* น้ำซุป 3 ถ้วยตวง




วิธีทำทีละขั้นตอน

1. ตั้งน้ำซุปในหม้อบนไฟร้อนปานกลาง เมื่อน้ำเดือดใส่ตะไคร้, ข่าอ่อน และใบมะกรูด (ฉีกแล้วใส่ลงไปในน้ำซุป) รอจนน้ำซุปเดือดอีกครั้ง แล้วลดไฟลง

2. ใส่เนื้อวัวลงไป เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนเนื้อวัวสุกและนุ่ม (ใช้เวลาอย่างน้อย 15 นาที)

3. เมื่อเคี่ยวจนเนื้อนุ่มและน้ำซุปเริ่มงวดลง ปรุงรสด้วย น้ำมะนาว, น้ำปลาและ พริกขี้หนู จากนั้นจึงใส่ผักชีฝรั่งและข้าวคั่วลงไป ต้มต่อจนน้ำซุปเริ่มเดือดอีกครั้ง จึงปิดไฟ

4. ตักใส่ถ้วย เสริฟทันทีพร้อมข้าวสวยร้อนๆ (หรือข้าวเหนียว) หรือเสริฟเป็นกับแกล้มก็ดี


credit:http://www.ezythaicooking.com/free_recipes/thai_hot_soup_with_beef_th.html

ต้มแซ่บกระดูกหมู

เครื่องปรุง

◊ กระดูกหมูตุ๋น หนูใส่เท่าที่เหลือค่ะ
◊ น้ำ ๓ ถ้วย
◊ ซุปหมูก้อน ๑ ก้อน**ไม่ชอบไม่ต้องใส่**
◊ ตะไคร้ ๑/๒ ต้น บุบ
◊ ใบมะกรูด ๒-๓ ใบ
◊ ข่า
◊ โหระพา ๒-๓ ต้น ถ้าใส่เยอะหน่อยก็หอมดีค่ะ
◊ ผักชีฝรั่ง (ผักชีใบเลื่อย)
◊ พริกขี้หนูบุบ แล้วแต่ความชอบเผ็ดมากน้อย
◊ พริกแห้งบด
◊ ข้าวคั่ว
◊ มะนาว
◊ น้ำปลา
◊ น้ำตาล บ้านหนูกินหวานต้องใส่นิดหน่อยเพื่อความกลมกล่อม ไม่ใส่มากค่ะ เอามาตัดรสเปรี้ยวนิดหน่อยค่ะ

ก่อนอื่นตั้งน้ำ ๓ ถ้วยให้เดือด ใส่ซุปหมูก้อน ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกขี้หนูบุบ รอให้เดือดหอมสมุนไพร
พอเดือดดีแล้ว หอมสมุนไพรแล้ว ก็ใส่หมูตุ๋นลงไปค่ะ
รอเดือดอีกทีก็ปิดไฟ ใส่โหระพา ผักชีฝรั่ง แล้วปรุงรสด้วยพริกแห้งบด ข้าวคั่ว น้ำปลา มะนาม น้ำตาลแล้วแต่ชอบค่ะ ปรุงเสร็จแล้วตักเสริฟกับข้าวสวยร้อนๆค่ะ ถ้าจะไม่ใช้หมูตุ๋น ก็เอากระดูกหมูมาใส่หลังจากใส่สมุนไพรไปแล้วค่ะ ตุ๋นให้เปื่อยสักพักก็ปรุงรสได้เลยค่ะ

ต้มโคล้งกระดูกอ่อนหมู

*เครื่องปรุง**..(เท่าที่หาได้ในตู้เย็นและในครัว..วันนี้)

1.พริกขี้ หนูแห้ง
2.พริกชี้ฟ้าแดง
3.ข่า
4.ตะไคร้
5.ใบมะกรูด
6.หอมแดง
7.มะนาว
8.ผักชีฝรั่ง
9.มะขามเปียก
10น้ำปลา....ผงชูรส....เกลือ
.**วิธีปรุง**
..นำตะไคร้ 4-5 ต้น ไปตัดหาง แล้วเอาไปล้างน้ำให้สะอาด...ทุบพอบุๆ แล้วหั่นเป็นท่อนๆ
..ข่า..ล้างน้ำแล้วหั่นเป็นแว่น.พองาม..ส่ายเยอะๆก้อหอม...
..ใบมะกรูดขยำๆฉีกไว้เยอะๆ...จะได้หอมๆ..
..ผักชีฝาหรั่ง....ล้างน้ำให้สะอาดแล้วหั่นท่อน..ขนาดพอสวย..
..หอมแดง เผา พอหอมแล้วแกะเปลือก..ทุบเบาๆ
..พริกขี้หนูแห้งเผา..แต่ผมใช้คั่วในกระทะ...กลิ่นรุนแรงดีเหลือเกิน
..พริกชี้ฟ้าแดงเผา..พอสุกและหอม..มีกลิ่นไหม้ไฟนิดๆก้อดีนะ
..นำพริกชี้ฟ้าแดงมาโขลกในครก..พอแหลก ตามใจฉัน.ไว้เติมรสในถ้วยตอนกิน.
..มะขามเปียก..คั้นเอาแต่น้ำพอประมาณ
..มะนาว...ผ่าซีกแล้วเตรียมไว้ปรุงตอนกิน
..กระดูกอ่อนหมู หรือเนื้อหมูหั่นเป็นชิ้น..(ใครอยากทานอะไร ก้อใส่สิ่งนั้นแทน..นะครับ)
..ยกหม้อใส่น้ำสะอาดขึ้นตั้งบนเตาไฟ....นำข่า..ตะไคร้..ใบมะกรูด..หอมแดงทุบ..โยนใส่ลงไปในหม้อ.
..รอจนเดือดแล้วใส่เนื้อหมูลงไป..(ต้องให้น้ำเดือด..ไม่งั้นจะมีกลิ่นคาว).
..จากนั้น..ปล่อยให้เดือดพล่าน..อีกครั้ง.
..เติมน้ำมะขามเปียกลงไป..แล้วปรุงรสตามใจชอบด้วยน้ำปลา..ผงชูรส..พริกแห้งคั่ว หักใส่ทั้งเม็ด...แล้วยกลง..
..ตักใส่ถ้วย..เติมด้วยพริกชี้ฟ้าแดงที่ตำเตรียมไว้...บีบมะนาว..
..หรือน้ำมะขามเปียก...โรยด้วยผักชีฝาหรั่ง...
..ยกไปวางบนโต๊ะแล้วไปตักข้าวมานั่งกิน...(หากไม่งกจนเกินไป..ก้อเรียกเพื่อน มาทานด้วยก้อได้...จะได้อวดฝีมือว่าเราทำกับข้าวกินเอง ก้อเป็น..555..จบแล้วครับ.
น่าอร่อยจังเลย หากเป็นปลากรอบ ปลาสำลักควัน(ถูกรม) จำเป็นต้องใส่ยอดมะขามเอ๊าะๆหรือเปล่า จ้า

credit:http://www.pantown.com/board.php?id=22691&area=4&name=board10&topic=2&action=view

สูตรน้ำจิ้มซีฟู๊ด

สูตรน้ำจิ้มซีฟู๊ด

พริกขี้หนูสวนไม่ต้องเด็ดก้าน 1 กำมือ
กระเทียมเชียงใหม่ 1/2กำมือ
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลาดี 3 ช้อนโต๊ะ
มะนาว 3 ลูก
เกลือ 1 ช้อนชา
ชูรส ใส่ นิด1พอ
แล้วนำทั้งหมดเข้าเครื่องปั่น ให้พอแหลกเกือบละเอียด
นั่นแระ น้ำจิ้มรสเด็ด
***เพิ่มเติม***
ต้องเปลี่ยนจากน้ำตาลทราย เป็นน้ำตาลปี๊บแท้ ครับ อร่อยกว่าน้ำตาลทราย ไม่เชื่อลองทำทั้ง 2 อย่างแล้วเปรียบเทียบดู
ผงชูรสไม่ต้องใส่ก็ได้ครับ แค่ โขลกกระเทียม กับ พริก ให้ละเอียด แล้วตามด้วยน้ำตาลปี๊บ (ถ้าใช้อย่างแข็งก็โขลกในครกเลย) แล้วปรุงด้วย น้ำปลา น้ำมะนาว ก็พอ ถ้าจะเอาแปลกหน่อยก็โขลกรากผักชี 1 รากเล็กพอหอม

credit:http://numning.info/forum/index.php?topic=121418.0

ปลากระบอกต้มส้ม

ปลากระบอกต้มส้ม


เครื่องปรุง
-ปลากระบอกตตัวใหญ่ 2 ตัว
-น้ำส้ม (น้ำส้มลูกโหนด) 1/3 ถ้วย
-ตะไคร้หั่นเป็นท่อนทุบ 2 ต้น
-กระเทียมบุบ 1 หัว
-หอมแดงบุบ 3 หัว
-เกลือป่น 3 ช้อนชา
-ขมิ้นทุบ 2 ซม.

วิธีทำ
ล้างปลาให้สะอาด ควักไส้ทิ้ง
เอาน้ำ 2 ถ้วยตั้งไฟ พอเดือดใส่ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ขมิ้น
พอเดือดอีกครั้งใส่น้ำส้ม เกลือ แล้วจึงใส่ปลา
พอปลาสุกแล้วปิดไฟ

credit:http://numning.info/forum/index.php?board=29.0

ต้มยำงู (แบบป่าๆเถื่อนๆ)

ความเป็นมา
หากเจองูก็ทำประจำครับ

ส่วนผสม
พริกแห้ง
กำจัด/มะแข่วน/มะข่วง/พริกหอม/แกะเอาแต่เปลือก รสเผ็ด ออกเฝื่อน
ข่า
ตะใคร้
ใบมะกรูด
ขมิ้น
หอมแดง
กระเทียม
เกลือ
กะปิ
ต้นหอมผักชี

วิธีทำ
1.ทำให้งูเสียชีวิตซะก่อนนะ
2.ก่อไฟแล้วนำเขาไปเผาครับพอให้เกล็ดเขาเกรียมๆ
3.ขูดเอาเกล็ดออกให้หมอ ล้างน้ำควักเครื่องในออกมาล้างด้วย
4.ตั้งหม้อไส่น้ำพอประมาณนำตระใคร้,ใบมะกรูด ขมิ้น,ข่า ลงต้ม
5.สับเนื้องูเป็นท่อนๆประมาณ 5 ซ.ม.แล้วลงต้มให้เปื่อย
6.ระหว่างที่รอก็โขลกน้ำพริก ไส่พริกแห้ง,กำจัด,เกลือ ข่า,ตระไคร้(ข่ากะตระใคร้ให้เผาก่อนนะครับ) หอมแดงก็เผา กระเทียม กระปิเผาครับ
7.พอเน้องูสุกได้ที่ตักเอาเฉพาะเนื้อมาแกะแยกเนื้อกะกระดูก
8.นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันให้ร้อนเอากระดูกงูที่แยกลงทอดให้กรอบแล้วยกลงพักให้เย็น
9.พอกระดูกเย็นแล้วคราวนี้ตั้งกระทะน้ำมันให้ร้อนจัดแล้วเอากระดูกลงไปอีกรอบให้เร็ว ร้อน แรง อย่าให้ไหม้ แล้วยกลงพักให้เย็น
10.พอกระดูกเย็นก็แบ่งนำมาโขลกให้ละเอียดส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็หักให้เป็นท่อนพอดีคำ
11.ตั้งกระทะให้ร้อนไส่น้ำมันนิดหน่อย นำเครื่องพริกที่เตรียมไว้ลงผัดให้หอม พอหอมได้ที่นำเนื้องูลงไปผักด้วยกัน พอเข้าเนื้อแล้วนำน้ำซุปที่เราต้มงูครั้งแรกเติมลงไปพอดีๆ
12.รอให้เดือดครับ (เตรียมน้ำแข็ง โซดา ให้พร้อม)
13.ตักใส่ภาชะนะแล้วแต่จะหาตามบุญตามกรรมครับ โรยผักชี ต้นหอม เป็นอันโซ้ยกันได้เต็มที่ครับ

เฉาก้วย

ส่วนผสม
1. หญ้าเฉาก๊วยแห้ง 1/2 กิโลกรัม
2. น้ำสะอาด 18 ลิตร (1 ถัง)
3. แป้งมันสำปะหลัง

วิธีทำ
1. นำหญ้าเฉาก๊วยแห้งมาล้างให้สะอาด เพื่อให้ทรายหรือสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ออกหมด แล้วนำไปใส่ปี๊บหรือถังสแตนเลส เติมน้ำสะอาดลงไป
2. นำไปต้มด้วยไฟปานกลาง ใช้ไม้พายคนเรื่อย ๆ ไม่ให้น้ำล้นออกมา ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 4 ชั่วโมง ก็จะได้น้ำเฉาก๊วยที่ดำและเข้มข้น
3. เทน้ำเฉาก๊วยที่ได้ออกพักในหม้อ รอให้เย็น ซึ่งเมื่อเย็นแล้วจะมีความเข้มข้นมากกว่าเดิม แล้วจึงนำมากรองเอากากออก โดยใช้ผ้าขาวบางรองซ้อนกัน 3 ชั้น วางบนปากภาชนะ เทน้ำเฉาก๊วยกรองผ่านผ้าลงไป โดยกรอง 3 ครั้ง แต่ละครั้งพยายามคั้นกาก ให้น้ำออกมามาก ๆ เพื่อจะได้มีความดำและเหนียวมาก ๆ
4. อาจจะเติมแป้งมันสำปะหลังลงไปในน้ำเฉาก๊วยเพื่อช่วยให้เฉาก๊วยแข็งตัวเป็นก้อนมากขึ้น
5. นำไปตักแบ่งรับประทานตามใจ

credit:http://numning.info/forum/index.php?topic=77652.0

5 สูตร น้ำพริกประจำบ้าน (สูตรอาหาร)

5 สูตร น้ำพริกประจำบ้าน (สูตรอาหาร)


--------------------------------------------------------------------------------
น้ำพริกกะปิ

เครื่องปรุง
- กะปิเผาไฟพอหอม 80 กรัม
- กระเทียมปอกเปลือก ซอยหยาบ ๆ 20 กรัม
- กุ้งแห้ง 10 กรัม
- พริกขี้หนูเด็ดก้าน 5 กรัม
- มะอึกสุกขูดขนซอย 30 กรัม
- มะเขือพวงวอย 40 กรัม
- น้ำตาลปี๊บ 90 กรัม
- น้ำมะนาว 80 กรัม
- น้ำปลา 40 กรัม
วิธีทำ
โขลกกะปิกับกระเทียมให้ละเอียด ใส่กุ้งแห้งลงโขลก ใส่พริกขี้หนู มะอึก มะเขือพวง ปรุงให้ได้ 3 รส เค็ม เปรี้ยว หวาน ตักใส่ถ้วย รับประทานกับปลาทูทอด ผักต้มราดกะทิ ผักสด และผักชุบไข่ทอด



น้ำพริกลงเรือ - หมูหวาน

เครื่องปรุง
- กะปิเผาไฟพอหอม 100 กรัม - มะเขือพวงผ่าครึ่ง 20 กรัม
- ปลาดุกฟู 50 กรัม - น้ำมะนาว 110 กรัม
- ไข่แดงไข่เค็มหั่นชิ้นเล็ก 60 กรัม - น้ำตาลปี๊บ 130 กรัม
- กุ้งแห้งโชลกละเอียด 35 กรัม - น้ำตาลปี๊บ 130 กรัม
- กระเทียมดองแกะเป็นกลีบ 30 กรัม
- กระเทียมปอกเปลือก 30 กรัม
- มะอึกสุกขูดขนซอย 20 กรัม
- พริกขี้หนูสวน 10 กรัม
- น้ำมันพืช 20 กรัม
วิธีทำ
โชลกกะปิกับกระเทียมให้ละเอียด ใส่มะเขือพวง มะอึก โชลกให้เข้ากัน ใส่พริกขี้หนู บุบพอแตก ปรุงรสด้วยน้ำตาล นำไปผัดกับน้ำมัน ใส่กุ้งแห้ง หมู หวานครึ่งส่วน ผัดให้เข้ากัน ใส่น้ำมะนาว ตักน้ำพริกใส่ถ้วย โรยไข่แดงไข่เค็ม กระเทียมดอง รับประทานกับผักสด หมูหวานที่เหลือ และปลาฟู


น้ำพริกโจร

เครื่องปรุง
- กุ้งสด 1 ขีด (กก.)
- กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
- พริกขี้หนู 10 เม็ด
- หอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
นำกุ้งมาต้ม ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผสมกะปิกับน้ำต้มกุ้ง ใส่พริกขี้หนูทุบพอแตก เกลือ หอมซอย ปรุงรสด้วย น้ำมะนาว น้ำตาล ใส่กุ้ง คนให้เข้ากัน

น้ำพริกไข่เค็ม

เครื่องปรุง
- ไข่เค็มต้มเอาเฉพาะไข่แดง 5 ฟอง
- หอมหัวแดง 3 หัว
- กระเทียม 1 หัว
- พริกชี้ฟ้า 5 เม็ด (เผาให้สุก ปอกเอาแต่เนื้อ)
- น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
นำไข่เค็ม เฉพาะไข่แดงที่ต้มสุกแล้ว หั่นสี่เสี้ยว ใส่ครก ใส่หอม กระเทียม พริกเผาสุก แกะเอาแต่เนื้อ โขลกให้เข้ากัน ใส่น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาล โขลกคุลกเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย

น้ำพริกผัด - น้ำพริกอ่อง

เครื่องปรุง
- กะปิ 1 ช้อนชา
- พริกแห้ง 5 เม็ด
- หอมหัวแดง 3 หัว
- กระเทียม 1 หัว
- มะเขือเทศสีดา 10 ลูก
- หมูติดมันสับละเอียด 1 ถ้วยตวง
- รากผักชีหั่น 1 ช้อนชา
- น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
นำกะปิ กระเทียม พริกแห้ง หอมหัวแดง รากผักชี ใส่ครกโขลกให้ละเอียด ตักใส่กระทะ ใส่น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ ผัดให้หอม ใส่หมูสับ มะเขือเทศหั่น ใส่น้ำปลา ถ้าชอบปลาร้าก็ใส่น้ำปลาร้าต้ม 2 ช้อนโต๊ะ ถ้าชอบเปรี้ยว บีบมะนาวใส่ ผัดพอสุก ตักใส่ถ้วย

ข้อมูลและภาพประกอบได้อ้างอิงจาก Web site หลักที่ให้ข้อมูล

credit:http://numning.info/forum/index.php?topic=13829.0

ลาบหมู

ส่วนผสมหลัก
หมูเนื้อแดงสับ 200 กรัม
ไส้ตัน และตับ 200 กรัม
หนังหมู 100 กรัม
ข้าวคั่ว 25 กรัม
พริกป่น 5 กรัม
ผักชี 2 ต้น
ต้นหอมซอย 2 ต้น
ใบสะระแหน่ 8 กรัม
หอมแดงซอย 8 กรัม
น้ำปลา 25 กรัม
น้ำมะนาว 30 กรัม
ผักสด : กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ผักกาดหอม
* 30 grams = 1oz. , 1kilogram = 2.24 lbs.
วิธีทำ

* ต้มเครื่องในหมู และหนังหมูจนสุก หั่นเป็นชิ้นบางๆ
* เอาหม้อตั้งไฟใส่หมูสับลวกจนสุก
* เคล้า หมูสับ เครื่องในหมู หนังหมู พริกป่น หอมแดงซอย ต้นหอม ผักชีซอย และข้าวคั่ว ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว โรยด้วยใบสะระแหน่ รับประทานกับผักสด กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ผักกาดหอม


credit:
http://buxincome.igetweb.com/
http://numning.info/forum/index.php?topic=146354.0

หมูสะเต๊ะ

เครื่องปรุง
เนื้อหมู 500 กรัม
ลูกผักชีคั่วป่น 2 ช้อนชา
ยี่หร่าคั่วป่น ? ช้อนชา
ข่าหั่นละเอียด ขมิ้นหั่นละเอียด อย่าละ 1 ช้อนชาพูน
ตะไคร้หั่นบางๆ 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น ? ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำตาล 2 ช้อนชา
หัวกะทิ(จากมะพร้าว 300 กรัม) ? ถ้วยและหางกะทิ ? ถ้วยสำหรับพรมเวลาแห้ง
ไม้เสียบสะเต๊ะ 50 ไม้
วิธีทำ
1หั่นชิ้นหมูหนาประมาณ ? นิ้ว กว้างประมาณ 1 นิ้ว ยาว 3 นิ้ว(หั่นตามยาวของเนื้อหมู)
2โขลกลูกผักชี ยี่หร่า ตะไคร้ ขมิ้น พริกไทย เกลือ ให้ละเอียด คลุกกับเนื้อหมู ใส่น้ำตาล และหัวกะทิ ? ถ้วยหมักไว้ ? ชั่วโมง หรือนานกว่านั้นแล้วจึงเสียบไม้
3ปิ้งหมูพรมด้วยหางกะทิจนสุก จัดเสิร์ฟกับน้ำจิ้มและอาจาด

น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
น้ำพริกแกงคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ
ถั่วลิสงคั่วป่น ? ถ้วย
กะทิ 2 ถ้วยคั้นจากมะพร้าว 300 กรัม
น้ำมันสำหรับผัดน้ำพริก ? ถ้วย
ลูกผักชีคั่วป่น 1 ช้อนชา
ยี่หร่าคั่วป่น ? ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ น้ำส้มมะขามเปียก อย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
ผัดน้ำพริกกับน้ำมันให้หอม ใส่ลูกผักชี ยี่หร่า ค่อยๆเติมกะทิ ใส่ถั่วลิสงป่น
เคี่ยวจนข้น ใส่เกลือ น้ำตาลปี๊บ น้ำส้มมะขาม ปรุง 3 รส ชิมอย่าให้เผ็ด

อาจาด
น้ำส้มสายชุน้ำ น้ำตาล อย่างละ ? ถ้วย
หอมซอย 2 หัว
เกลือ 1 ช้อนชา
แตงกวา 5 ลูก
พริกแดง 1 เม็ด
วิธีทำอาจาด
หั่นแตงกวาหนา ? เซนติเมตร ถ้าลูกใหญ่ผ่าตามยาว 2-4 ชิ้น จัดใส่ถ้วยเสิร์ฟ ใส่หอมซอย พริกแดง น้ำปรุงรส น้ำ น้ำตาลทราย ตั้งไฟให้เดือด แล้วยกลงปล่อยให้เย็น

credit:http://numning.info/forum/index.php?topic=100897.0

ไก่ต้มโค๊ก

ไก่1ตัวน้ำหนัก 2-3โลกรัม
น้ำแป๊บซี่ ขวดละ12 บาท 1ขวด
น้ำปลาตราภูเขาทอง ขวดละ15 บาท 1ขวด (ขวดเล็ก)
นมเเปรี้ยว ดีไล 1ขวดเล็ก
พริกไทย ตะใคร้ 1กำ
นำไก่มาล้างให้สะอาด นำพริกไทยคุกและนำตะใคร้ยัดในท้อง อาบด้วยนมเปรี้ยว หมักทิ้ง5 นาที
นำนำปลา ผสมกับน้ำแป็บซี่ ใส่ในหม้อ และนำไก่ที่หมักแล้วใส่ลงไป ต้มครั้งแรกใช้ไฟแรงให้เดือด 30 นาที และยกลงทิ้งไว้ 1- 2ชม และนำมาต้มด้วยไฟอ่อน ๆ 1ชม จะได้ไก่ที่นิ่มกระดูกล่อนน่ารับประทานครับ

credit:http://numning.info/forum/index.php?topic=122147.0

ต้มโคล้งปลากรอบ

* ปลากรอบรมควันหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 250 กรัม (หรือเนื้อปลาสดก็ได้)

* น้ำมะขาม 2 ช้อนโต๊ะ

* พริกแห้งหั่น 3 เม็ด (ปรับเพิ่ม/ลด ตามความชอบ)

* น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

* หอมแดง 3-5 ลูก (นำไปเผาไฟและทุบพอแตก)

* ตะไคร้ 2 ต้น (หั่นยาวประมาณ 2 นิ้วและทุบพอแตก)

* มะเขือเทศหั่น 50 กรัม

* น้ำตาล 1 ช้อนชา

* ข่าหั่นเป็นแว่นๆ 8 ชิ้น

* ใบมะกรูด 5 ใบ

* ใบกะเพรา 1/2 ถ้วยตวง

* น้ำซุป 2 ถ้วยตวง (หรือน้ำเปล่า)

* ใบมะขามอ่อน (สำหรับแต่งหน้า)




วิธีทำทีละขั้นตอน

1. นำน้ำซุปใส่หม้อและไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง ใส่ข่า, ตะไคร้ และหอมแดง รอจนน้ำซุปเดือดจึงใส่ปลากรอบลงไป

2. ปรุงรสด้วย น้ำมะขาม, น้ำปลาและน้ำตาล แล้วจึงใส่พริกแห้ง, มะเขือเทศ, ใบกะเพราและ ใบมะกรูด (ฉีกก่อนแล้วค่อยใส่ลงไปในซุป) รอจนน้ำซุปเดือดอีกครั้ง ปิดไฟ

3. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยใบมะขามอ่อน เสริฟทันทีพร้อมข้าวสวยร้อน
credit:http://www.ezythaicooking.com/free_recipes/Sour-and-spicy-smoked-dry-fish-soup_th.html

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

HOWTO: Disabling Windows DEP (Data Execution Prevention)

Q10002 - HOWTO: Disabling Windows DEP (Data Execution Prevention)
1.Disable Data Execution Prevention (DEP) completely
2.Click Start, and then click Control Panel.
3.Under Pick a category, click Performance and Maintenance.
4.Under or Pick a Control Panel icon, click System.
5.Click the Advanced tab, and in the Startup and Recovery area, click Settings.
6.In the SystemStartup area, click Edit.
7.In Notepad, click Edit and then click Find.
8.In the Find what field, type /noexecute and then click Find Next.
9.In the Find dialog box click Cancel.
10.Replace the policy_level (for example, "OptIn" default) with "AlwaysOff" (without the quotes).

WARNING: Be sure to enter the text carefully. Your boot.ini file switch should now read:

/noexecute=AlwaysOff

11.In Notepad, click File and then click Save.
12.Click OK to close Startup and Recovery.
13.Click OK to close System Properties and then restart your computer.
This setting does not provide any DEP coverage for any part of the system, regardless of hardware DEP support.

Verifying DEP is Disabled
1.Click Start, and then click Control Panel.
2.Under Pick a category, click Performance and Maintenance.
3.Under or Pick a Control Panel icon, click System.
4.Click the Advanced tab.
5.In the Performance area, click Settings and then click Data Execution Prevention.
6.Verify that the DEP settings are unavailable and then click OK to close Performance Settings.
7.Click OK to close System Properties then close Performance and Maintenance.


Credit:http://www.zensoftware.co.uk/kb/article.aspx?id=10002

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Logistics คือ อะไร

ระบบโลจิสติกส์คืออะไร? การพัฒนาระบบโลจิสติกส์จะมีส่วนในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างไร? และหากประเทศไทยก้าวไม่ทันหรือตกขบวนรถไฟสายโลจิสติกส์ที่ว่า จะไม่มีเวทียืนบนตลาดโลกกระนั้นเลยหรือ? คงเป็นคำถามที่ค้างคาใจของใครหลาย ๆ คน ยิ่งเมื่อประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตน้ำมันที่เขย่าเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและส่งออก รวมทั้งระบบเศรษฐกิจโดยรวม ข้อเสนอการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่ถือเป็น \"ยาหม้อใหญ่\" ของการแก้ไขวิกฤตทั้งปวง ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องหันมาโหมพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยกันขนานใหญ่ เพื่อให้สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ลดต้นทุนสินค้าและบริการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย ต่างก็ป่าวประกาศ ในความสำเร็จของการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ จนสามารถลดต้นทุนให้เหลืออยู่เพียง 8-10% ขณะที่มีการประมาณการกันว่าประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย ที่แม้จะมีการนำเอาระบบจัดการโลจิสติกส์เข้ามาใช้ร่วม 10 ปี แต่วันนี้ต้นทุนโลจิสติกส์โดยรวมยังคงอยู่ในเกณฑ์สูงอยู่ดี

ด้วยข้อสงสัยหลายประการ ประชาคมวิจัยฉบับนี้จึงถือโอกาสขอเข้าสัมภาษณ์ ผศ.ดร.ดวงพรรณ ศฤงคารินทร์ ผู้ประสานงานชุดโครงการ “โลจิสติกส์และโซ่อุปทาน” สกว. จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เพื่อช่วยไขปัญหาที่ค้างคาใจใครอีกหลายคนว่า การจัดการโลจิสติกส์ของไทย ณ ขณะนี้ไปถึงไหนแล้ว งานวิจัยในชุดโครงการโลจิสติกส์ของ สกว. จะมีส่วนผลักดันแนวนโยบายและสนับสนุนการเคลื่อนงานของภาครัฐ เอกชน และผู้เกี่ยวข้องได้อย่างไร




สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ logistics ว่าคือการขนส่งสินค้า ก็เพราะเป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนว่า supply ไปเจอ demand นั่นคือ การนำสินค้าไปไว้บนรถแล้วสินค้านั้นก็เดินทางไปถึงลูกค้านั่นเอง



• ถ้าจะตีความคำว่า “logistics” เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายแล้ว จะหมายความถึงเรื่องใดบ้างคะ?

คนส่วนใหญ่จะตีความ “logistics” ไปในเรื่องของการขนส่งซะเป็นส่วนใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว logistics ก็คือการทำให้อุปทาน (supply) ไปเจออุปสงค์ (demand) อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการทำให้ supply ไปเจอกับ demand ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด มันหมายถึงการบริหารทรัพยากรที่ตั้งอยู่บนโครงของโซ่อุปทาน (supply chain) ที่มองกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น สมมุติว่าเราซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เราก็ต้องมองแล้วว่า supply chain ของมันมีอะไรบ้าง ตั้งแต่การปลูกข้าวเพื่อผลิตแป้งมาจากไหน ซองที่ใช้บรรจุมาจากไหน เครื่องปรุงมาจากไหน จนกระทั่งเมื่อผลิตมาแล้วไปวางขายที่ไหน ซึ่งนี่คือตัว supply chain แล้วบนโครง supply chain มีกิจกรรมอะไรที่บริหารทรัพยากรแล้วทำให้วัตถุดิบทั้งหมดกลายเป็นวัตถุสำเร็จ (finished product) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องครอบคลุมตั้งแต่การบริหารจัดการวัตถุดิบ การบริหารจัดการการสั่งซื้อ การวางแผนการผลิต การจัดลำดับการผลิต การจัดกำลังการผลิต การจัดการโกดังสินค้า การจัดการวัสดุคงคลัง ว่าจะต้องเก็บเท่าไหร่ เก็บเมื่อใด ซื้อเมื่อใด ซื้อเท่าใด เก็บแค่ไหน ขายเท่าใด จนกระทั่งไปถึงการจัดการการขนส่งไปถึงมือลูกค้า การจัดการการขายและบริการลูกค้า แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ logistics ว่าคือการขนส่งสินค้า ก็เพราะเป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนว่า supply ไปเจอ demand นั่นคือ การนำสินค้าไปไว้บนรถแล้วสินค้านั้นก็เดินทางไปถึงลูกค้านั่นเอง เพราะฉะนั้นในการจัดการโซ่อุปทานของสินค้าใด ๆ ก็คือ การมองว่า supply chain หน้าตาเป็นอย่างไร แล้วถึงเข้าไปบริหารจัดการทรัพยากรในส่วนที่ chain นั้น ๆ มีปัญหา ซึ่งแต่ละ chain ของสินค้าแต่ละตัวก็ต่างกันออกไป เช่น การผลิตสับปะรดส่งออก เรามองกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พบว่าปัญหาไม่มีอยู่ที่การผลิตกระป๋อง ไม่ได้อยู่ที่การจัดลำดับการผลิต แต่ปัญหาอยู่ที่การจัดการวัตถุดิบ การผลิตนม ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กระบวนการผลิต แต่ปัญหาอยู่ที่การขนส่งนมระหว่างโรงงานนมดิบไปยังสหกรณ์นม และจากสหกรณ์นมไปยังโรงงานแปรรูปนม เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็น logistics ที่คนควรจะเข้าใจมากกว่า




logistics เป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง คือจริง ๆ แล้ว คำว่า “logistics” พื้นฐานมาจากศัพท์ทางทหาร ทางทหารแปลว่า พลาธิการ พลาธิการก็คือ การส่งกำลังบำรุง เป็นการจัดการการส่งกำลังบำรุงว่าจะต้องขนกองทัพไปเท่าใดถึงจะตีข้าศึกได้



• แล้ว logistics กับ supply chain มีความสัมพันธ์กันอย่างไร

ตัว logistics กับ supply chain ต้องไปด้วยกัน คือ จะมีคำถามเยอะมากว่า logistics กับ supply chain อะไรใหญ่กว่ากัน ใครเป็นแม่ใคร ซึ่งจริง ๆ แล้ว อาจารย์มักจะย้ำอยู่เสมอว่าทั้งสองต้องไปด้วยกัน เพราะ supply chain เป็นโครงสร้างที่ให้กิจกรรม logistics อาศัยอยู่ คือ เหมือน logistics เป็นกิจกรรมหนึ่ง ๆ ที่ต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้ supply ไปเจอ demand บน supply chain ซึ่งนั่นก็คือ การจัดการ logistics (logistics management) แต่ก็มีความเข้าใจผิดอีกประการหนึ่งที่คนชอบคิดว่า logistics เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา...ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่...logistics เป็นชื่อเรียกกิจกรรม ที่เราจะต้องไปจัดการกับกิจกรรม logistics เหล่านี้บน supply chain ที่เราศึกษา เพราะฉะนั้นงานวิจัย logistics ก็คือ การวิจัยที่ศึกษาบน supply chain และดูกิจกรรม logistics แล้วแก้ปัญหาโดยใช้หลักการบริหารจัดการ logistics เข้าไปแก้

logistics เป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง คือจริง ๆ แล้ว คำว่า “logistics” พื้นฐานมาจากศัพท์ทางทหาร ทางทหารแปลว่า พลาธิการ พลาธิการก็คือ การส่งกำลังบำรุง เป็นการจัดการการส่งกำลังบำรุงว่าจะต้องขนกองทัพไปเท่าใดถึงจะตีข้าศึกได้ ต้องเอาเสบียงและยารักษาโรคไปเท่าใด ต้องเดินเท้ากี่วันถึงจะไปถึงที่หมาย



• ศาสตร์ทาง logistics ในประเทศไทยมีผู้รู้ในระดับใดคะ

logistics มีเสน่ห์ตรงที่เป็นสหสาขาวิทยาการ (multidiscipline) คือจะมีคนถามบ่อยครั้งว่า ศาสตร์ด้านนี้อยู่ในสาขา management หรือว่าอยู่ใน engineering ซึ่งอาจารย์ว่า logistics จะต้องผนวกทุกสาขาวิชาเข้าด้วยกัน เพราะการบริหารจัดการให้ supply ไปเจอ demand มีความเกี่ยวข้องกับหลายศาสตร์ทั้งด้านกฎหมาย ภาษีอากร ฯลฯ ซึ่งต้องใช้ความรู้จากหลาย ๆ สาขาเข้ามาแก้ปัญหาตรงนี้ ถ้าถามว่ามีผู้รู้มากน้อยแค่ไหน ณ ขณะนี้นักวิจัยของ สกว. ในชุดโครงการวิจัย logistics ได้รวมตัวกันเป็นเครือข่ายนักวิจัยไทยด้านการจัดการโซ่คุณค่าและโลจิสติกส์ (ThaiVCML; http://www.thaivcml.org) ซึ่งตอนนี้มีสมาชิกอยู่ประมาณ 85 ท่านจาก 30 มหาวิทยาลัย ซึ่งเครือข่ายนี้ได้จัดตั้งอย่างเป็นทางการและได้รับการยอมรับจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) มีลักษณะเป็นเครือข่ายเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและเชื่อมโยงระหว่างนักวิจัย และเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการจัดการ logistics และ supply chain ในประเทศไทย รวมถึงการเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม แล้วอย่างที่อาจารย์กล่าวในตอนต้นก็คือ logistics เป็นสหสาขาวิทยาการ เพราะฉะนั้นอาจารย์ที่อยู่ในเครือข่ายนี้จะมีทั้งอาจารย์จากทั้งสาขาวิศวกรรมศาสตร์ บัญชี บริหาร อุตสาหกรรมเกษตร รวมถึงนิติศาสตร์ เพราะเราต้องใช้ความรู้จากหลายๆ สาขาวิชาเข้ามาบริหารจัดการทรัพยากร ซึ่ง ณ ขณะนี้มีการเปิดสอนในสาขา logistics โดยตรงทั้งสิ้น 16 มหาวิทยาลัย ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการปรับให้เป็นหลักสูตรมาตรฐานขึ้นมาใหม่ ตอนนี้การเรียนการสอนแบ่งออกเป็น 2 สายคือ สายการจัดการ (management) และสายวิทยาศาสตร์ในเชิง engineering ซึ่งก็จะเรียนกันคนละแบบ มีการสอนทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ส่วนระดับปริญญาเอกกำลังจะเปิดสอนในมหาวิทยาลัยมหิดล

การเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยมหิดลจะอยู่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างบุคลากรให้เป็น logistics engineer ซึ่งจะสอนให้นักศึกษารู้จักวิเคราะห์และแก้ปัญหาระบบ logistics ในเชิงระบบคือใช้ modeling tools ต่าง ๆ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะอยู่ในคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จะเน้นการสอนด้านการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์และการวางแผนการตลาดด้าน logistics มหาวิทยาลัยบูรพาจะเน้นด้านพาณิชย์นาวี การจัดการด้านการขนส่งทางเรือ การจัดการโกดังสินค้า เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีของแต่ละมหาวิทยาลัยที่มีความเฉพาะเจาะจง ความเชี่ยวชาญของศาสตร์แต่ละด้านอย่างชัดเจน ผู้เรียนไม่เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีรสชาติเหมือน ๆ กัน ผู้เรียนเลือกได้ว่าเราจะเป็นราดหน้า ก๋วยเตี๋ยว หรือบะหมี่



• ทำไม logistics ถึงให้ความสำคัญทางการค้าระหว่างไทย-จีน มากกว่าข้อตกลงทางการค้ากับประเทศอื่น ๆ คะ

จริง ๆ แล้วการทำวิจัยระบบ logistics ของการค้าไทย-จีน เพื่อรองรับข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน เกิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว โจทย์เกิดจากที่ว่าถ้าไทยเปิดเสรีการค้าแล้ว logistics ของไทยจะตอบสนองต่อการเปิดเสรีการค้าที่ไทยควรจะตั้งรับการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ประกอบกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของไทยเราอยู่ระหว่างจีนกับประเทศในกลุ่มอาเซียน ซึ่งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ค่อนข้างดีที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (HUB) ทั้งที่เกี่ยวกับการคมนาคมขนส่ง และศูนย์กระจายสินค้าของภูมิภาคทั้งจากอาเซียนไปจีน และจากจีนมายังอาเซียน อีกประการหนึ่งคือ จีนเป็นประเทศใหญ่มาก เรามองว่าหากจีนเป็นคู่ค้ากับไทย จะเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยได้มาก ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของการศึกษาโจทย์วิจัยเรื่องนี้



• งานวิจัย logistics กับการนำไปใช้ประโยชน์

การวิจัยในเชิงที่ว่าไทยควรจะตั้งรับหรือต่อสู้อย่างไรเพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียเปรียบทางการค้าระหว่างประเทศเป็นงานวิจัยเชิงนโยบาย เป็นการทำโจทย์เพื่อเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า ซึ่งมีผู้รอใช้ผลวิจัยนี้ค่อนข้างมาก จะเสร็จสิ้นราวเดือนพฤษภาคม 2550 ตอนนี้อยู่ในขั้นขมวดปมทุก ๆ โครงการ ซึ่งความยากของโจทย์อยู่ที่ว่า เราไม่รู้ว่าเราจะไปจับประเด็นไหนเพื่อจะไปดูว่าระบบ logistics ของไทยควรจะเป็นอย่างไร เราเลยตีความออกเป็น 3 โจทย์ย่อยคือ (1) ศึกษาระบบ logistics ของไทยว่าหากไทยส่งออกสินค้าไปจีนแล้ว logistics ของไทยจะมีปัญหาอะไรบ้าง ซึ่งประเด็นโจทย์นี้เป็นที่น่าตื่นเต้นมาก ทีมวิจัยกลุ่มนี้พบว่าระบบ logistics ของไทยในการส่งออกสินค้าเองยังไม่บูรณาการเข้าด้วยกัน การส่งออกสินค้าจากท่าเรือต่าง ๆ ของไทยมีค่าขนส่งที่สูงมาก ในไทยมีท่าเรือมากมายแต่ทำไมเราถึงต้องไปส่งออกที่ท่าเรือประเทศอื่น ยกตัวอย่างเช่น การส่งออกยางพาราทางภาคใต้ ทำไมถึงไม่ส่งออกที่ท่าเรือสงขลาหรือท่าเรือสุราษฎร์ แต่ไปใช้ท่าเรือส่งออกที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งประเด็นที่เราพบก็คือ ค่าใช้จ่ายในการส่งออกทางท่าเรือเหล่านั้นสูงกว่าที่ผู้ประกอบการจะใช้วิธีใส่รถบรรทุกผ่านด่านปะดังเบซาแล้วไปออกที่ท่าเรือกลังหรือท่าเรือปีนัง ซึ่งจากการวิจัยพบว่าสาเหตุแรกก็คือ เรามีตู้คอนเทนเนอร์ไม่พอ คือถ้าท่าเรือเราไม่เป็นที่นิยม ปริมาณตู้เข้าจะน้อย หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ ปริมาณตู้เข้าและออกไม่สมดุลกันมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 70 : 30 (ตู้เข้าน้อยกว่าตู้ออก) เพราะฉะนั้นเวลาเราจะส่งออก เราจะต้องไปลากตู้เปล่ามาจากสิงคโปร์บ้าง มาเลเซียบ้าง อีกประการหนึ่งที่พบก็คือ ภาคเอกชนไม่กล้าเข้ามาลงทุนเต็มที่ สัมปทานที่เอกชนได้รับมีระยะเวลาสั้นเกินไป เพราะฉะนั้นท่าเรือจึงไม่มีเครน ไม่มีอุปกรณ์ในการยกตู้คอนเทนเนอร์ เรือที่เข้ามาต้องเป็นเรือที่มีอุปกรณ์ยกด้วยไม่เช่นนั้นจะเข้ามาท่าเรือนี้ไม่ได้ และประการสุดท้ายก็คือ ท่าเรือไม่มีการเชื่อมโยงกับระบบการขนส่งอื่น ๆ เช่น ระบบรางรถไฟ หรือถนนที่ตัดเข้าท่าเรือแคบมากไม่สะดวกต่อการขนส่ง ซึ่งจะเห็นได้ว่าเรายังไม่ได้มีการมองภาพรวมในเชิงการขนส่งอย่างเป็นระบบที่ดี (2) ศึกษาระบบ logistics ของประเทศจีนว่าศักยภาพของสินค้าไทยสามารถเข้าไปบุกตลาดจีนอย่างไร เพราะไม่ใช่ทุกมณฑลของจีนที่บริโภคสินค้าไทย ผลไม้ไทยขายได้แค่ทางตอนใต้และทางตะวันออกเฉียงใต้สูงสุดแค่เมืองเซียงไฮ้และปักกิ่งเท่านั้น ทีมวิจัยกลุ่มนี้ต้องเข้าไปศึกษาว่าตลาดจีนที่รองรับสินค้าไทยและระบบการกระจายสินค้าเข้าตลาดจีนในแต่ละส่วน ไทยจะเจออุปสรรคใดบ้าง ซึ่งพบว่ามีอุปสรรคมากมาย เป็นต้นว่า กฎเกณฑ์ของแต่ละมณฑล อัตราภาษี การตรวจกักสินค้า ฯลฯ (3) ศึกษาศักยภาพของการค้าผ่านแดนไทย-จีน ในมณฑลยูนาน ซึ่งติดกับทางภาคเหนือของไทยและเป็นทางใต้ของจีน ซึ่งทีมวิจัยกลุ่มนี้พบว่าสินค้าผ่านแดนไม่ได้มีการกระจายสินค้าไปทั่วทั้งประเทศจีน มีเพียงสินค้าเพียงไม่กี่ชนิด เช่น ลำไย ยางพารา เท่านั้นที่มีศักยภาพสูงกว่าสินค้าประเภทอื่น และเรายังมองถึงอนาคตว่าในปี 2007 ซึ่งการก่อสร้างทางหลวงคุนหมิง-กรุงเทพฯ จะแล้วเสร็จ รัฐบาลไทยควรมีนโยบายตั้งรับอย่างไรเพื่อสนับสนุนระบบ logistics ของไทย เราจะเป็นแค่ทางผ่านจากจีนไปยังสิงคโปร์อย่างเดียวหรือไม่ ซึ่งทั้งสามประเด็นที่ตั้งไว้ ผลวิจัยจะตอบคำถามได้ว่าระบบ logistics ไทยเพื่อการส่งออกไปจีนควรจะเป็นอย่างไร




สิ่งที่เรากำลังจะทำก็คือ การทำวิจัยผ่านเครือข่ายไทย VCML เพื่อบูรณาการงานวิจัยที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกันว่าจะสามารถนำมาต่อยอดงานวิจัยกันได้หรือไม่



• ผลวิจัยของทั้ง 3 ทีม สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในระดับใดแล้วคะ

มีการรายงานผลความก้าวหน้าของโครงการวิจัยเข้ามาเป็นระยะ ๆ ซึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) ที่เราดึงเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการวิจัยตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงขั้นพัฒนาโครงการ เริ่มรับทราบแล้วว่าผลงานวิจัยเป็นอย่างไร ผลวิจัยที่นำไปใช้ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้นำผลงานวิจัยไปใช้ในเรื่องการส่งออกยางพาราว่าต้องมีการปรับปรุงศักยภาพท่าเรือของไทย และกำหนดบทบาทของท่าเรือไทยว่าควรจะมีทิศทางอย่างไรต่อไป



• แสดงว่าภาครัฐมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนให้ logistics ไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้น

ในความเห็นของอาจารย์ อาจารย์คิดว่าจะเป็นเรื่องน่าห่วงเสียมากกว่า เพราะตอนนี้เราจะเห็นมีคณะกรรมการ logistics เกิดขึ้นทั่วไปหมด แต่ไม่มีหน่วยงานกลางที่จะรวบรวมและบูรณาการองค์ความรู้ทุกเรื่องเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังจะทำก็คือ การทำวิจัยผ่านเครือข่ายไทย VCML เพื่อบูรณาการงานวิจัยที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกันว่าจะสามารถนำมาต่อยอดงานวิจัยกันได้หรือไม่ อาจารย์ในฐานะผู้ประสานงานโครงการจะต้องไปในทุกเวทีเพื่อรับทราบข้อมูลและความเคลื่อนไหวว่าแต่ละหน่วยงาน กรม กอง โดยเฉพาะภาคเอกชนซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่อง logistics มาก ว่าเขาทำอะไรไปถึงไหนแล้ว เพื่อที่จะได้ดึงข้อมูลมาบูรณาการเข้าด้วยกัน สรุปคือปัญหาของประเทศไทยเกี่ยวกับ logistic ก็คือ ปัญหาเรื่องการบูรณาการองค์ความรู้เสียมากกว่า



• ฝากทิ้งท้ายเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรด้าน logistics

บุคลาการด้าน logistics ณ ขณะนี้มีน้อยมากไม่ถึง 100 คน และงานวิจัยด้านนี้ก็ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการของประเทศ ซึ่งมีผลการวิจัยออกมาว่าความต้องการบุคลากรด้าน logistics ของประเทศตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 385,000 คน/ปี เป็นความต้องการบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมปีละ 100,000 คน และต้องการครู-อาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ปีละกว่า 1,100 คน เพราะฉะนั้นอาจารย์คงต้องฝากถึงเยาวชนว่าให้หันมาสนใจศึกษาในเรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้สนับสนุนด้านการศึกษาโดยเครือข่าย VCMLร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล โดยการสนับสนุนทุนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา (สกอ.) จัดอบรมเกี่ยวกับ logistics ให้แก่ครูและนักเรียนในระดับมัธยมต้นถึงมัธยมปลาย รวมถึงในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งได้สนับสนุนให้นักศึกษาทำโครงการวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับ logistics ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ซึ่งน่าจะเป็นโครงการระยะยาวที่สามารถทำได้

Logistics and Supply chain

รวบรวมความหมายทั้งหมดของ Logistics & Supply Chain. 1 Year, 9 Months ago
Logistics & Supply Chain

Supply Chain = การรวมเอาหัวใจสำคัญของกระบวนการทางธุรกิจ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การแยกวัตถุดิบไปจนกระทั่งถึงเสร็จสิ้นกระบวนการหรือถึงมือลูกค้าที่ใช���สินค้าจริงๆ ตลอดจนกระบวนการที่อยู่ระหว่างกลางอันได้แก่ การขนส่ง การเก็บสินค้า และการขายสินค้าให้กับลูกค้า

Supply Chain Management = การจัดการโซ่อุปทาน คือการรวบรวมการวางแผนและการจัดการของกิจกรรมทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดหา การจัดซื้อ การแปรสภาพ และกิจกรรมการจัดการทั้งหมด ที่สำคัญการจัดการโซ่อุปทานยังรวมถึงการประสานงาน (Coordination)และการทำงานร่วมกัน (Collaboration) กับหุ้นส่วนต่างๆในโซ่อุปทานซึ่งจะเป็นผู้จัดส่งวัตถุดิบ ตัวกลางผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการลอจิสติกส์และลูกค้า แก่นสำคัญ คือ การจัดการโซ่อุปทานจะบูรณาการทั้งการจัดการอุปสงค์และอุปทานซึ่งรวมถึงภายในและภายนอกบริษัท

Logistics Management = การจัดการลอจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการโซ่อุปทานซึ่ง วางแผน นำไปปฏิบัติ และควบคุมการไหลทั้งไปและกลับอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพของสินค้า บริการและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องในระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดที่มีการบริโภคเพื่อที่จะให้ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า

การจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management ; SCM)การจัดการโซ่อุปทาน คือการรวบรวมการวางแผน และการจัดการของกิจกรรมทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดหา การจัดซื้อ การแปรสภาพ และกิจกรรมการจัดการทั้งหมด ที่สำคัญการจัดการโซ่อุปทานยังรวมถึงการประสานงาน (Coordination) และการทำงานร่วมกัน (Collaboration) กับหุ้นส่วนต่างๆในโซ่อุปทานซึ่งจะเป็นผู้จัดส่งวัตุดิบ ตัวกลางผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการลอจิสติกส์และลูกค้า แก่นสำคัญก็คือ การจัดการโซ่อุปทานจะบูรณาการ (Integrate) ทั้งการจัดการอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งรวมถึงทั้งภายในและภายนอกบริษัท

ลอจิสติกส์ (Logistics) เป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับช่องทางการจัดจำหน่าย เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการจากผู้ผลิตไปถึงมือผู้บริโภค รวมทั้งขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ และการเก็บรักษาสินค้าคงคลังอีกด้วย หรือพูดง่ายๆ ว่า ลอจิสติกส์ คือการนำสินค้าและบริการที่ลูกค้าต้องการไปยังสถานที่ที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม สร้างความพอใจสูงสุดให้ลูกค้า โดยที่กิจการจะได้รับผลกำไร หรือประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง
การบริหารจัดการระบบลอจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมทำให้ต้นทุนในเรื่องของการเคลื่อนย้าย การขนส่ง การคลังสินค้า การรักษาสินค้าต่ำ และสามารถต่อสู้กับคู่แข่งขันยืนหยัดอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรงได้หรือพูดอีกนัย การจัดการระบบลอจิสติกส์ที่ดีจะเป็นหนึ่งในหนทางแห่งความเป็นเลิศของธุรกิจนั่นเอง
(อาจารย์ วิทยา สุหฤทดำรง)

Supply Chain และ Logistics Network มีความหมายเหมือนกัน คือการบริหารจัดการตั้งแต่ต้นทางและปลายทางได้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่แบ่งแยกให้ supply chain ไปในทางบริหาร หรือ Logistics ไปในทาง operation
(อาจารย์ วัชรพล สุขโหตุ)

Logistics คือ การลำเลียงโดยอาศัยการขนส่งรูปแบบใดๆ ต้องอาศัย Transportation ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ไปสู่ที่ต่างๆจนถึง customer (ต้นน้ำถึงปลายน้ำ) โดยคำนึงถึงความรวดเร็ว ต้นทุนต่ำสุด ยืดหยุ่นได้ ( สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งได้ ) และนำคณิตศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ (Decision Making)

Supply Chain หมายถึง สายโซ่การส่งมอบ ขั้นตอนและองค์กรของสถาบันต่างๆที่ทำหน้าที่ส่งมอบทรัพยากรและปัจจัยการผลิตให้กับลูกค้���

Logistics เป็นเครื่องมือของการผลิต Supply Chain เป็นองค์ประกอบของการผลิต Operation เป็นส่วนหนึ่งของ Logistics และ Supply Chain

Supply Chain เป็นขั้นตอนที่จะส่ง Goods และ Services ไปยังผู้ผลิต Logistics เป็นวิธีการขนส่งหรือลำเลียงตามวิธีการหลายรูปแบบ
(อาจารย์ วิชัย ธนรังสีกุล)

การบริหารห่วงโซ่อุปทานหรือ Supply Chain Management เป็นการบริหารการทำงานร่วมกันระหว่างกิจการที่อยู่ในสายการผลิตตลอดสาย ตั้งแต่ต้นกระบวนการผลิตไปจนจบกระบวนการที่ผู้บริโภค โดยมีการแบ่งปันข่าวสารข้อมูลที่จำเป็น และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดร่วมกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการลดต้นทุนให้ต่ำที่สุด และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้สูงสุด ผลที่ได้จะทำให้ ผู้ประกอบการตลอดสายสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้รับ ผลตอบแทนจากการดำเนินงานดีขึ้น สามารถแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น

การบริหารห่วงโซ่อุปทานหรือ Supply Chain Management เป็นการบริหารกระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจนกระทั่งผลิตเสร็จแล้���ส่งไปยังผู้บริโภคขั้นสุดท้าย ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขิงดอง สูตรเกร็ดเกษตร

การทำขิงดอง

1. ขิงอ่อน 1/2 กิโลกรัม

2. เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ

3. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ

4. น้ำส้มสายชู 200 กรัม

5. น้ำตาลทราย 200 กรัม

6. เกลือป่นไทย 4 ช้อนชา

วิธีทำ

1. ปอกเปลือกขิง จากนั้นคลุกขิงกับเกลือป่น และน้ำมะนาว พักไว้ประมาณ 15 นาที (เพื่อให้ขิงมีสีชมพู) จึงตักขึ้น พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำใส่ขวดโหลที่ล้างสะอาดแล้ว

2. ต้มน้ำส้มสายชูกับน้ำตาลทราย และเกลือป่นไทย จนน้ำตาลทรายละลายหมด จึงยกลง พัก ไว้จนเย็นสนิท

3. เทส่วนผสมน้ำเชื่อมที่ได้ ใส่ในขวดโหลที่มีขิงจนเต็ม ปิดฝาให้สนิท

4. นำเข้าตู้เย็นประมาณ 1 สัปดาห์ จึงรับประทาน

ขิงดอง สูตร กุลสตี

--------------------------------------------------------------------------------
ขิงดอง
สิ่งที่ต้องเตรียม ขิงอ่อน 1/2 กิโลกรัม

--------------------------------------------------------------------------------

เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ

--------------------------------------------------------------------------------

น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ

--------------------------------------------------------------------------------

น้ำส้มสายชู 200 กรัม

--------------------------------------------------------------------------------

น้ำตาลทราย 200 กรัม

--------------------------------------------------------------------------------

เกลือป่นไทย 4 ช้อนชา

วิธีทำ

1. ปอกเปลือกขิง และแกะสลักให้สวยงาม จากนั้นคลุกขิงกับเกลือป่น และน้ำมะนาว พักไว้ประมาณ 15 นาที (เพื่อให้ขิงมีสีชมพู) จึงตักขึ้น พักไว้ ให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำใส่ขวดโหลที่ล้างสะอาดแล้ว
2. ต้มน้ำส้มสายชูกับน้ำตาลทราย และเกลือป่นไทย จนน้ำตาลทรายละลายหมด จึงยกลง พักไว้จนเย็นสนิท เทส่วนผสมน้ำเชื่อมที่ได้ ใส่ในขวดโหลที่มีขิงจนเต็ม ปิดฝาให้สนิท นำเข้าตู้เย็นประมาณ 1 สัปดาห์ จึงรับประทาน

หมายเหตุ

หากน้ำเชื่อมในขวดโหล สำหรับดองขิงเกิดฟองอากาศ ให้นำน้ำเชื่อมไปต้มจนเดือด แล้วพักไว้จนเย็นสนิท จึงเทลงในขวดโหลที่มีขิงดองอยู่

การขอ IPPC

คำนำ

ปัจจุบัน การใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ในการขนส่งระหว่างประเทศมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก เพื่อใช้ในการป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับสินค้าที่ส่งออกไปจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่โดยเหตุที่วัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้สามารถเป็นพาหะนำศัตรูพืชจากแหล่งหนึ่งไปแพร่ระบาดยังแหล่งอื่นในการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน อนุสัญญาอารักขาพืชระหว่างประเทศ (International Plant Protection Convention , IPPC) จึงได้จัดทำมาตรฐานระหว่างประเทศสำหรับมาตรการสุขอนามัยพืช( International for Phytosanitary Measure) ว่าด้วย แนวทางการควบคุมวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ในการค้าระหว่างประเทศ (Guideline for Regulating Wood Packing Material in International Trade , ISPM 15) โดยกำหนดให้ประเทศภาคีสมาชิกออกกฏระเบียบเพื่อควบคุมวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ในการค้าระหว่างประเทศต้องมีการกำจัดศัตรูพืช และมีเครื่องหมายประทับรับรองการกำจัดศัตรูพืชตามแบบที่กำหนดในมาตรฐาน พร้อมแสดงหมายเลขทะเบียนรับรอง การกำจัดศัตรูพืชตามแบบที่กำหนดในมาตรฐาน พร้อมแสดงหมายเลขทะเบียนรับรอง การกำจัดศัตรูพืชอาจจะใช้วิธีการรมยา (fumigation) ด้วย เมธิลโบรไมด์ (Methyl bromide) อัตรา 48 กรัมต่อลูกบาศก์เมตรเป็นเวลาอย่างน้อย 16 ชม. หรือใช้ความร้อน (Heat treatment) อุณหภูมิ 56 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 นาที ที่แกนกลางไม้ ซึ่งตามแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศ กำหนดให้องค์กรอารักขาพืชแห่งชาติ (National Plant Protection Organization , NPPO) ของแต่ละประเทศ ทำหน้าที่จดทะเบียนผู้ประกอบการผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้และตรวจประเมินการกำจัดศัตรูพืช
คู่มือการขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ เพื่อการส่งออก ตามข้อกำหนดของ IPPC จะเป็นข้อมูลที่สื่อความหมายให้เกิดความเข้าใจ ระหว่างเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และผู้ประกอบการต่อการนำไปใช้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน

การขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้เพื่อการส่งออก
กรมวิชาการเกษตรในฐานะขององค์กรอารักขาพืชแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบ
ในการดำเนินการขึ้นทะเบียนโดยมอบหมายให้ กลุ่มบริการส่งออกสินค้าเกษตร สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร เป็นผู้ดำเนินการ มีรายละเอียดและขั้นตอนการปฏิบัติงาน ดังต่อไปนี้
1. ยื่นคำขอขึ้นทะเบียน
แบบคำขอขึ้นทะเบียนที่เรียกว่า กบส 1 รับได้ที่กลุ่มบริการส่งออกสินค้าเกษตร รายละเอียด ประกอบด้วย
1.1 ชื่อบริษัท ห้างหุ้นส่วน ร้าน
1.2 ที่อยู่เลขที่ ถนน ตรอก/ซอย/หมู่ ตำบล อำเภอ จังหวัด รหัสไปรษณีย์
1.3 เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ โทรสาร
1.4 แสดงความจำนงในการขอประเมินความสามารถในการกำจัดศัตรูพืช
ในช่อง ( ว่าต้องการประเมินแบบใด
1.5 ลงลายมือชื่อผู้มีอำนาจ
2. การส่งเอกสารหลักฐานของผู้ประกอบการ
ผู้ประกอบการต้องแสดงหลักฐานต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ให้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ในประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่อง การขึ้นทะเบียนผู้ผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้เพื่อการส่งออก
พ.ศ. 2547 ดังต่อไปนี้
2.1 กรณีผู้ขอเป็นบุคคลธรรมดา
(1) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน
อย่างละ 1 ฉบับ
(2) สำเนาใบทะเบียนพาณิชย์ที่นายทะเบียนรับรองไม่เกิน 6 เดือน จำนวน 1 ฉบับ
(3) สำเนาแผนที่ตั้งของโรงงานผลิต
2.2 กรณีผู้ขอเป็นนิติบุคคล
(1) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านของกรรมการ
ผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท (กรณีบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด) หรือของหุ้นส่วนผู้จัดการ (กรณีห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล) แล้วแต่กรณี จำนวนอย่างละ 1 ฉบับ
(2) หนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแสดงรายการ
จดทะเบียนตลอดทั้งชื่อกรรมการ หรือหุ้นส่วนผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งออกมาแล้วไม่เกิน 6 เดือน จำนวนอย่างละ 1 ฉบับ
(3) สำเนาหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
(4) สำเนาแผนที่ตั้งของโรงงานผลิต
3. การเตรียมการของผู้ประกอบการวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ เพื่อการตรวจประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจประเมินวิธีการกำจัดศัตรูพืช ผู้ประกอบการ ต้องมีการเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์ และเครื่องมือให้ครบถ้วนตามข้อกำหนดในแต่ละวิธีการกำจัดศัตรูพืช
3.1 การเตรียมความพร้อมสำหรับการประเมินความสามารถในการรมยา
กำจัดศัตรูพืชของผู้ประกอบการ
ในการรมยากำจัดศัตรูพืชโดยเมธิลโบรไมด์ เป็นวิธีการรมยาที่มีประสิทธิภาพ
และสิ้นเปลืองเวลาในการปฏิบัติงานน้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับการรมยาด้วยสารเคมีชนิดอื่น ๆ
แต่การรมยาให้ได้ผลและประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นที่จะต้องมีองค์ประกอบที่ครบถ้วนตามหลักวิชาการที่ได้รับการรับรองจากนานาชาติ ซึ่งองค์ประกอบเหล่านั้น ได้แก่
(1) บุคลากร
บุคลากรที่จะมาปฏิบัติการรมยา นับได้ว่ามีความสำคัญที่สุดในการดำเนินการรมยา โดยจะต้องเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงมาก เพราะเหตุว่า เมธิลโบรไมด์เป็นก๊าซพิษ สามารถทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การปฏิบัติงานไม่เพียงแต่ที่จะต้องระมัดระวังตนเองแล้ว ยังจะต้องมิให้ผู้อื่นได้รับอันตรายจากการปฏิบัติงานรมยาด้วย นอกจากนั้นยังต้องเป็นผู้ที่รู้จักวิธีการรมยา และสามารถปฏิบัติการรมยาให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด มีความปลอดภัย สามารถฆ่าแมลงได้ทั้งหมด บุคคลากรที่ดำเนินการรมยาจะต้องมีเพียงพออย่างน้อย 2 คน และต้องเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกอบรม วิธีการรมยากำจัดศัตรูพืชจากกรมวิชาการเกษตร
มีใบอนุญาตให้ประกอบการรมยาจากกรมวิชาการเกษตรเช่นเดียวกัน
(2) สถานที่ สถานที่ประกอบการพิจารณาการประเมิน จะพิจารณาออกเป็น
2 ส่วน คือ
(2.1) สถานที่ประกอบการ จะต้องเป็นโรงงานที่มีรั้วรอบ ขอบชิด มีการแยกสัดส่วนการผลิตที่ชัดเจน มีความสะอาด ไม่มีการสะสมที่ก่อให้เกิดการสะสมของแมลงศัตรูพืชภายในโรงงาน ซึ่งจะเป็นแหล่งแพร่ระบาดของศัตรูพืช
(2.2) สถานที่ที่ใช้ในการรมยากำจัดศัตรูพืช จะต้องเป็นสถานที่ที่เหมาะสม สามารถทำการรมยากำจัดศัตรูพืชได้ดี และปลอดภัย โดยสถานที่ที่เหมาะสมดังกล่าวจะต้องเป็น
สถานที่ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
- มีพื้นที่เรียบ ไม่เอียง ไม่มีรอยแตกแยก ร่องระบายน้ำ รูระบายน้ำ กรวด ทราย
หินชิ้นเล็ก ๆ เหล่านี้ จะเป็นสาเหตุของการรั่วไหลของก๊าซ ซึ่งจะทำให้การรมยาไม่ประสบผลสำเร็จได้
ก่อนรมยาจึงต้องทำความสะอาดพื้นให้สะอาดก่อนเป็นลำดับแรก
- มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ที่กำหนดเช่นนี้เนื่องจากก๊าซเมธิลโบรไมด์เป็นก๊าซที่หนักกว่าอากาศ ถ้าเกิดมีการรั่วไหลของก๊าซ จะทำให้ไม่เกิดการสะสมของก๊าซบริเวณ
ที่กระทำการรมยา จนถึงระดับความเข้มข้นที่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ปฏิบัติและผู้ที่อยู่ใกล้เคียง
- เป็นสถานที่ที่อยู่ในร่ม มีหลังคาปกคลุม ป้องกันฝนและแสงแดดหรือลมที่พัดแรงเกินไป ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการฉีกขาดของผ้าที่ใช้คลุมรมยาทำให้การรมยาล้มเหลว ต้องเริ่มการรมยาใหม่ เสียเงินและเวลา
(2.3) อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการรมยา
การรมยากำจัดศัตรูพืช เป็นการปฏิบัติงานที่คำนึงถึงความปลอดภัย
พร้อม ๆ ไปกับความสำเร็จของการดำเนินงาน ดังนั้นการรมยาที่ถูกต้องตามมาตรฐานจะต้องประกอบด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือดังต่อไปนี้
- ผ้าพลาสติก tarpauline
- ถุงทรายหรือท่อทราย (Sand snake)
- ท่อส่งก๊าซ (Gassing line)
- ท่อน้ำก๊าซ (Sampling line) เพื่อนำก๊าซจากภายในกองรมยามาวัด
ความเข้มข้น
- พัดลม ช่วยในการกระจายก๊าซให้มีความเข้มข้นภายในกองรมยาเท่า ๆ กัน และช่วยในการระบายก๊าซเมื่อสิ้นสุดการรมยา
- ปลั๊กไฟ เพื่อใช้ให้พลังงานแก่พัดลม
- ถังก๊าซบรรจุเมธิลโบรไมด์
- หม้ออุ่นก๊าซ (Vaporizer) เพื่ออุ่นเมธิลโบรไมด์ ให้เป็นก๊าซร้อนจะทำให้การกระจายตัวรวดเร็วขึ้น
- ข้อต่อ (joint) ต่าง ๆ เพื่อต่อท่อจากถังก๊าซมายัง vaporizer และเข้าไปยังกองรมยา
- เตาแก๊สพร้อมถังแก๊สและไม้ขีด
- สายวัดความยาว
- ตราชั่งน้ำหนัก
- เทปกาวขนาดความกว้างไม่ต่ำกว่า 2 นิ้ว
- เครื่องวัดความเข้มข้นของก๊าซเมธิลโบรไมด์
- หน้ากากชนิดเต็มหน้าพร้อมหม้อกรองก๊าซ
- เครื่องวัดการรั่วไหลของแก๊ส (Halide detector)
- เชือกกันบริเวณ
- ป้ายเตือนอันตราย
3.2 การเตรียมความพร้อมสำหรับการประเมินความสามารถในการกำจัดศัตรูพืชของผู้ประกอบการด้วยวิธีการใช้ความร้อน (Heat treatment)
การกำจัดศัตรูพืชโดยการใช้ความร้อน เป็นวิธีการที่กำหนดโดย IPPC ที่รับรองว่าสามารถกำจัดศัตรูพืชที่สำคัญของไม้ได้ทุกระยะการเจริญเติบโต การประเมินของเจ้าหน้าที่
จะพิจารณาจาก
(1) สถานที่
สถานที่ สถานที่ผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับวิธีการตรวจประเมินโดยการรมยา
(2) อุปกรณ์และเครื่องมือ
อุปกรณ์กำจัดศัตรูพืชโดยการใช้ความร้อน สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ประกอบการผลิต จะต้องจัดเตรียม คือ
- ห้องอบไม้ ซึ่งจะใช้พลังงานแสดงอาทิตย์ หรือพลังงานไอน้ำ แบบ Kiln drying
ก็ได้
- เครื่องวัดอุณหภูมิของไม้ชนิดที่สามารถวัดแกนกลางไม้ได้โดยการใช้ probe สอดเข้าไปในร่องที่เจาะ
เมื่อผู้ประกอบการจัดเตรียมความพร้อมแล้ว จึงทำการนัดแนะเจ้าหน้าที่ไม่ทำการตรวจสอบประเมิน


4. การแสดงความสามารถในการกำจัดศัตรูพืชของผู้ประกอบการ
ขั้นตอนนี้ ผู้ประกอบการต้องสามารถแสดงวิธีการกำจัดศัตรูพืช ให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่เพื่อประกอบการประเมิน โดยที่เจ้าหน้าที่จะพิจารณาขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มต้น จนสิ้นสุดการปฏิบัติงาน จะต้องถูกต้องตามมาตรฐานที่ IPPC กำหนด ดังนี้
4.1 การแสดงความสามารถในการกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีการรมยาด้วยเมธิลโบรไมด์
การรมยากำจัดศัตรูพืชกับวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ IPPC กำหนดไว้ใช้อัตราการรมยา 48 กรัม/ลูกบาศก์เมตร เป็นเวลา16-24 ชั่วโมง โดยในชั่วโมงที่ 16 ความเข้มข้นของเมธิลโบรไมด์ในกองรมยาจะต้อง
ไม่ต่ำกว่า 14 กรัม/ลูกบาศก์เมตร พนักงานเจ้าหน้าที่จะพิจารณารายละเอียดที่ต้องปฏิบัติดังนี้
(1) การเตรียมสถานที่ประกอบการรมยากำจัดศัตรูพืช จะต้องมีการเลือก
สถานที่ให้ได้มาตรฐานตามที่ระบุไว้ในขั้นตอนการเตรียมการ
(2) การจัดตั้งกองวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้
การจัดตั้งกองวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ นับว่ามีความสำคัญ การตั้งกองไม้จะต้องตั้งให้มีระเบียบ ที่สำคัญจะต้องห่างจากผนังอย่างน้อย 1 เมตร และต้องมีแสงสว่างเพียงพอ การที่ต้องตั้งห่างจากผนังดังกล่าว เพราะเหตุว่าจะทำให้เกิดความสะอาดในการปฏิบัติงาน เช่น การวางถุงทราย การตรวจสอบการรั่วไหลของแก๊ส การตรวจสอบรอยรั่วบนผ้า tarpauline หรือการอุดรอยรั่ว
(3) การวางสายวัดความเข้มข้นของก๊าซ ผู้ทำการรมยาต้องมีความสามารถในการวางสายวัดความเข้มข้นของก๊าซเมธิลโบรไมด์ได้ถูกต้อง ว่าจะต้องวางไว้ตรงจุดใดจึงจะเหมาะสม
(4) การวางพัดลม เพื่อช่วยการกระจายตัวของแก๊ส จะต้องวางให้ถูกต้องเหมาะสม
(5) การคลุมผ้า tarpauline บนกองวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ พร้อมวางท่อทราย
ทับชายผ้าเพื่อป้องกันการรั่วไหลของก๊าซต้องวางให้ถูกต้องตามมาตรฐานที่กำหนด
(6) การคำนวณปริมาตร และอัตราของเมธิลโบรไมด์ที่ต้องใช้ในการรมยา
ต้องคำนวณได้อย่างถูกต้อง
(7) การปฏิบัติการปล่อยยาอย่างถูกต้อง คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก มีการตรวจสอบการรั่วไหล
(8) การวัดความเข้มข้นของก๊าซเมธิลโบรไมด์ เมื่อดำเนินการรมยาได้ระยะเวลาหนึ่ง จนถึงชั่วโมงสุดท้ายของการรมยาความเข้มข้นของก๊าซต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ IPPC กำหนด
(9) การระบายก๊าซเมธิลโบรไมด์ออกจากกองรมยา จะต้องปฏิบัติได้ถูกต้องและปลอดภัย
หมายเหตุ : กรณีที่ผู้ประกอบการไม่สามารถปฏิบัติการรมยาได้เอง สามารถที่จะว่าจ้างภาคเอกชน ที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้ว
4.2 การแสดงความสามารถในการกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีการใช้ความร้อน
ในแนวทางการควบคุมวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ในการค้าระหว่างประเทศ (ISPM 15) กำหนดให้วัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้เพื่อการส่งออก ต้องกำจัดศัตรูพืชโดยใช้ความร้อนที่วัดได้ 56( C เป็นเวลา 30 นาที โดยวัดที่ใจแกนกลางไม้ วิธีการนี้ผู้ผลิตจะต้องทำการอบไม้ ให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการและใช้เครื่องวัดอุณหภูมิ วัดที่ใจแกนกลางไม้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบให้ได้ตามมาตรฐาน จึงจะผ่านการประเมินจากเจ้าหน้าที่
หมายเหตุ : การตรวจประเมินขั้นตอนและวิธีการกำจัดศัตรูพืช พนักงานเจ้าหน้าที่จะทำการบันทึกไว้ในรายการตรวจประเมินในแบบฟอร์ม กบส 2 , กบส 2/1 , กบส 2/2


5. การประเมินผลการตรวจประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบประเมิน โรงงานผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้เสร็จสิ้นแล้ว จะทำการประเมินผลการตรวจสอบลงในแบบบันทึกรายการตรวจสอบประเมิน แล้วจึงนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาการตรวจประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อพิจารณาการตรวจประเมินผลการพิจารณา ดังนี้
5.1 หากไม่ผ่านการประเมิน พนักงานเจ้าหน้าที่จะแจ้งให้ผู้ประกอบการผลิตที่ขอขึ้นทะเบียนทราบ พร้อมเหตุผลที่ไม่ผ่านการประเมิน
5.2 หากผ่านการประเมิน เมื่อคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาเห็นว่าผู้ยื่นคำขอ
ได้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการตรวจสอบกำหนด จะสรุปผลการพิจารณาเสนอต่ออธิบดีกรมวิชาการเกษตร เพื่อรับรองการขึ้นทะเบียนตามแบบ กบส 3 ซึ่งเรียกว่า ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้
เพื่อการส่งออก


6. เมื่อใบสำคัญการขึ้นทะเบียนฯ ผ่านการลงนามจากผู้มีอำนาจลงนามพนักงานเจ้าหน้าที่จะแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบ เพื่อมารับใบสำคัญ


7. เงื่อนไขที่ผู้ผลิตต้องปฏิบัติก่อนและหลังการได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียน
7.1 วัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ที่ได้รับการกำจัดศัตรูพืชแล้วต้องประทับตราวันที่กำจัดศัตรูพืชทุกครั้ง
7.2 ต้องทำตารางการกำจัดศัตรูพืชในแต่ละครั้งไว้เพื่อการตรวจสอบ
7.3 ต้องรักษามาตรฐานของการปฏิบัติการกำจัดศัตรูพืชให้อยู่ในมาตรฐาน
ที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด
7.4 ต้องอำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากกรมวิชาการเกษตรในการติดตามหรือตรวจสอบการปฏิบัติงานกำจัดศัตรูพืชได้ตามสมควร หรือในกรณีเกิดการร้องเรียนจากประเทศปลายทาง


8. บทกำหนดโทษ
8.1 กรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วพบว่า ผู้ผลิตรายใดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ IPPC กำหนดไว้ใน ISPM No. 15 หรือดำเนินการผิดไปจากมาตรฐานที่กรมวิชาการเกษตรกำหนดไว้ และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้แก้ไขแล้ว แต่ผู้ผลิตมิได้ดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามมาตรฐาน
ภายในเวลาที่กำหนด กรมวิชาการเกษตรอาจจะตักเตือน พักใช้ หรือเพิกถอนใบสำคัญการขึ้นทะเบียน หรือดำเนินการตามกฏหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี
8.2 กรณีที่กรมวิชาการเกษตรได้รับการร้องเรียนจากประเทศปลายทางในกรณี
ตรวจพบศัตรูพืชที่วัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าผู้ผลิตไม่ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนด กรมวิชาการเกษตรอาจจะตักเตือน พักใช้ หรือเพิกถอนใบสำคัญการขึ้นทะเบียน หรือดำเนินการตามกฏหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี
8.3 กรณีที่มีการพักใช้หรือเพิกถอนใบสำคัญการขึ้นทะเบียน กรมวิชาการเกษตรจะแจ้งรายชื่อของผู้ผลิตดังกล่าวให้ประเทศปลายทางที่ประกาศใช้มาตรการมาตรฐานสุขอนามัย ฉบับที่ 15 ทราบ

* สถานที่ติดต่อ กลุ่มบริการส่งออกสินค้าเกษตร สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร
กรมวิชาการเกษตร โทร. 02-9406466-8 โทรสาร 02-5793576

บริษัท ชวี่ เฉวียน ฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตขิงดอง ขิงแปรรูป

“ขิงดอง” ถือเป็นหนึ่งในอาหารทางวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่น แต่เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีพื้นที่ทำเกษตรจำกัด ทำให้การเพาะปลูกขิงไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศ จำเป็นนำเข้าขิงดองจากต่างประเทศ 100% โดยมีการนำเข้าจากไทยมากที่สุดปีละหลายร้อยล้านบาท
อย่างเช่นรายของ “บริษัท ชวี่ เฉวียน ฟู้ดส์ จำกัด” ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ใน จ.เชียงราย โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นถึง 98% เน้นจับตลาดบน สร้างรายได้ปีละกว่า 200-300 ล้านบาท

นายเจริญชัย แย้มแขไข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชวี่ เฉวียน ฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตขิงดอง ขิงแปรรูป และมะเขือม่วงดองส่งออกรายใหญ่ของไทยกล่าวถึงการดำเนินธุรกิจว่า บริษัทฯ เป็นการร่วมทุนระหว่างไทยกับไต้หวัน เดิมตั้งโรงงานอยู่ที่ไต้หวันและได้ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยเมื่อปี 2536 ดำเนินธุรกิจผลิตขิงดองกึ่งสำเร็จรูปส่งออกตลาดญี่ปุ่น และในปี 2541 ได้ทดลองผลิตขิงแปรรูปส่งจำหน่ายซึ่งก็ได้รับการยอมรับจากลูกค้า จากนั้นจึงได้ทำการผลิตมะเขือม่วงดองเพิ่มซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นการผลิตภายใต้แบรนด์ของลูกค้า

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก 100% ไม่มีจำหน่ายในประเทศ จับกลุ่มลูกค้าตลาดบนเป็นหลัก เนื่องจากไม่ต้องการแข่งขันด้านราคากับประเทศคู่แข่งจากเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย โดยเฉพาะจีนที่มีราคาถูกกว่าแต่คุณภาพนั้นยังสู้ไทยไม่ได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์ขิงดองและขิงแปรรูปที่บริษัทผลิตขึ้นได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค สามารถครองส่วนแบ่งตลาดในญี่ปุ่นได้ 30 - 35 % จากผลิตภัณฑ์ขิงดองและขิงแปรรูปที่ส่งเข้าประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด

“ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นตลาดส่งออกหลักของบริษัทถึง 98% ที่เหลือกระจายอยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งเป็นแหล่งที่มีคนญี่ปุ่น จีน และไต้หวันอาศัยอยู่ โดยในแต่ละปีสามารถสร้างรายไดให้บริษัทกว่า 200 – 350 ล้านบาท” เจ้าของธุรกิจ เผย

ทั้งนี้ การตัดสินใจย้ายฐานการผลิตจากไต้หวันมาที่ประเทศไทย ทำให้ต้องหาพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกขิงสายพันธุ์จากญี่ปุ่นโดยเฉพาะขึ้น และพบว่าพื้นที่ทางภาคเหนือมีความเหมาะสมกับการปลูกขิงสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่ได้คุณภาพ ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง น่านและพะเยา บริษัทจึงได้มาจัดตั้งโรงงานอยู่ที่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย

สาเหตุที่ต้องใช้ขิงสายพันธุ์ญี่ปุ่นเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต เนื่องจากขิงญี่ปุ่นมีกากไฟเบอร์น้อย และมีรสชาติเผ็ดน้อยกว่าขิงไทย ปัจจุบันมีการเพาะปลูกขิงสายพันธุ์ญี่ปุ่นเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนประมาณ 2 หมื่นไร่ นอกจากนี้ยังมีการเพาะปลูกกันมากที่จังหวัดเพชรบูรณ์ พิษณุโลก และจังหวัดเลย รวมพื้นที่เพาะปลูกขิงทั่วประเทศทั้งสิ้นกว่า 3 หมื่นไร่ ส่วนพื้นที่เพาะปลูกมะเขือม่วงประมาณ 300 ไร่กระจายอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และลำปาง

“การรับซื้อขิงอ่อนสดจากเกษตรกรจะมีขึ้นราวเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ขิงมีอายุ 4-6 เดือนมีคุณภาพที่เหมาะสำหรับการผลิตขิงดองและขิงแปรรูป โดยในแต่ละปีบริษัทจะรับซื้อขิงอ่อนสดจากเกษตรกรถึง 12 ล้านกิโลกรัม สามารถผลิตขิงดองและขิงแปรรูปส่งออกได้ปีละ 600 ตู้คอนเทรนเนอร์” นายเจริญชัย เผย

สำหรับขั้นตอนการผลิตขิงดองนั้น เมื่อได้ขิงสดมาแล้วต้องล้างเพื่อเอาดินที่ติดอยู่ออกก่อน จากนั้นจะนำลงบ่อดองที่มีความลึก 3 เมตร กว้าง 5 ยาว 6 เมตร จุได้บ่อละ 5 – 6 ตัน มีจำนวนบ่อดองทั้งสิ้น 150 บ่อ หมักทิ้งไว้ประมาณ 10 วัน หรือมากกว่านั้น จากนั้นจึงค่อยทยอยนำขึ้นมาปลอกเปลือก หรือที่เรียกว่าตัดแต่ง โดยมีแรงงานที่ทำหน้าที่ในการตัดแต่งกว่า 500 - 800 คน กำลังการผลิตต่อคนเฉลี่ยอยู่ที่ 40 – 100 กิโลกรัมต่อวัน จากนั้นนำมาคัดขนาด ชั่งน้ำหนัก แพ็คกิ้ง และนำบรรจุลงในลังและพาเลตไม้ เพื่อเตรียมส่งออกต่อไป

แต่เมื่อประเทศญี่ปุ่นได้มีประกาศเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 ห้ามนำเข้าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากไม้ หรือ ลังไม้ ที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐาน IPPC เข้าไปยังประเทศญี่ปุ่นอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของแมลงที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจติดมากับบรรจุภัณฑ์ไม้ ซึ่งอาจเข้าไปสร้างความเสียหายและเป็นอันตรายต่อด้านการเกษตรของประเทศญี่ปุ่น

จากความเข้มงวดดังกล่าว ทำให้ต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้กระทบต่อการส่งออก บริษัทจึงได้เข้ารับความช่วยเหลือจากโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (iTAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในโครงการ “การสร้างเตาอบวัสดุบรรจุภัณฑ์จากไม้เพื่อการ Heat Treatment” สำหรับใช้บรรจุผลิตภัณฑ์ขิงดองส่งออก โดย iTAP ได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาวนผลิตภัณฑ์ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้ามาเป็นที่ปรึกษา เมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทได้สร้างเตาอบดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 2 เตา เพื่อรองรับความต้องการใช้งาน สามารถอบลังไม้ได้ถึงคราวละประมาณ 1,000 ลัง

ผลที่ได้รับจากโครงการฯ นี้ ทำให้บริษัทสามารถส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นได้อย่างต่อเนื่อง เพราะลังและพาเลตไม้ที่ผ่านการอบจากเตาอบที่บริษัทสร้างขึ้นจะมีมาตรฐาน IPPC เป็นเครื่องหมายรับรองลงบนตัวลังและพาเลตไม้ทุกครั้งเพราะการที่บริษัทสามารถควบคุมการอบได้เอง หากเกิดปัญหาขึ้นที่ปลายทางก็ตรวจสอบได้ทันที ซึ่งนอกจากได้เตาอบที่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนลงจากเดิมที่ต้องสั่งซื้อลังไม้ที่อบแล้วจากภายนอกโรงงานถึงปีละกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งในแต่ละปีบริษัทต้องใช้ลังไม้เป็นจำนวนมากนับแสนใบ แต่ที่สำคัญ คือ ความมั่นใจในคุณภาพของบรรจุภัณฑ์และการจัดส่งสินค้ามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์ขนส่งสินค้า มีด้วยกัน 2 แบบ นอกจากบรรจุภัณฑ์ไม้ หรือ พาเลตไม้แล้ว ยังมีพาเลตที่ทำจากสแตนเลสแบบน๊อคดาวน์ เนื่องจากญี่ปุ่นมีกฎหมายเทศบาลที่กำหนดว่าหากมีการเผาวัสดุใดๆก็ตามจะคิดค่าเผาตามน้ำหนักเป็นกิโลถือว่าแพงมาก ดังนั้น จึงมีการจัดทำพาเลตจากสแตนเลสขึ้นใช้นิยมกันมากในเมืองใหญ่ เช่น โอซาก้า และ โตเกียว แต่สำหรับเมืองเล็กๆ ยังคงใช้พาเลตจากไม้เป็นส่วนใหญ่

นายเจริญชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขิงดองถือเป็นวัฒนธรรมการกินของชนชาติญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งประเทศอื่นไม่นิยมมากนัก โดยในปี 2546 เป็นต้นมา บริษัทมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นจากการส่งออกไปญี่ปุ่นเฉพาะผลิตภัณฑ์ขิงดองและขิงแปรรูปสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทถึงปีละประมาณ 200 - 350 ล้านบาท และอีก 60 ล้านบาทจากผลิตภัณฑ์มะเขือม่วงดองที่ได้รับการตอบรับจากตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังเตรียมขยายผลิตภัณฑ์สินค้าทางด้านเกษตรอื่นๆ เพิ่มเข้าไปยังตลาดญี่ปุ่นมากขึ้น

“ผมมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก จึงอยากให้คนไทยหันมามองและให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรกันมากขึ้น ” นายเจริญชัย กล่าวในตอนท้าย

โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมไทย (iTAP) สวทช.เครือข่ายภาคเหนือhttp://www.nn.nstda.or.th/itap

การทำขิงดอง

การทำขิงดอง (ขิงดองสีชมพู)
Credit:Written by Administrator
http://www.toolmartasia.com/index.php?option=com_content&task=view&id=164&Itemid=32
Nov 30, 2007 at 10:55 PM
การทำขิงดอง สีชมพู

สิ่งที่ต้องเตรียม
1. ขิงอ่อน 1/2 กิโลกรัม
2. เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำส้มสายชู 200 กรัม
5. น้ำตาลทราย 200 กรัม
6. เกลือป่นไทย 4 ช้อนชา

: : วิธีทำ : :
1. ปอกเปลือกขิง และแกะสลักให้สวยงาม จากนั้นคลุกขิงกับเกลือป่น และน้ำมะนาว พักไว้ประมาณ 15 นาที (เพื่อให้ขิงมีสีชมพู) จึงตักขึ้น พักไว้ ให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำใส่ขวดโหลที่ล้างสะอาดแล้ว
2. ต้มน้ำส้มสายชูกับน้ำตาลทราย และเกลือป่นไทย จนน้ำตาลทรายละลายหมด จึงยกลง พักไว้จนเย็นสนิท เทส่วนผสมน้ำเชื่อมที่ได้ ใส่ในขวดโหลที่มีขิงจนเต็ม ปิดฝาให้สนิท นำเข้าตู้เย็นประมาณ 1 สัปดาห์ จึงรับประทาน

หมายเหตุ หากน้ำเชื่อมในขวดโหล สำหรับดองขิงเกิดฟองอากาศ ให้นำน้ำเชื่อมไปต้มจนเดือด แล้วพักไว้จนเย็นสนิท จึงเทลงในขวดโหลที่มีขิงดองอยู่

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

โทรศัพท์สำหรับผู้ที่ไม่ชอบอยู่หน้าคอมเวลาคุย (No PC require)

พบกับนวัตกรรมใหม่ที่จะมาแทนมือถือในอนาคตคือการโทรผ่านอินเตอร์เนต
ที่ค่าโทรแสนจะถูกทั้งโทรทั่วโลก และ ทั่วไทย
แต่การโทรผ่านคอมนั้นมันก้อยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างเช่น ต้องอยู่ประจำหน้าคอมพิวเตอร์
ทำให้ Build อารามย์ กันไม่ได้ว่างั้น
วันนี้เราเอามือถือที่จะทำให้คุยกันได้โดยไม่ต้องนั่งอยู่หน้าคอมมานำเสนอครับ...
มือถือตัวนี้ชื่อ SMC WSKP100 Wi-Fi phone for skype ครับ











Overview

1.เป็นWi-Fi phone for skype ครับ
2.ค่าโทรแสนถูกครับเพราะเป็นการโทรผ่าน skype หากคุณใช้ hi-speed internet ผมรับรองเรื่องคุณภาพเสียงครับ.
3.เป็นโทรศัพท์ไร้สายประจำบ้านครับ และไม่จำเป็นต้องเปิดคอมพิวเตอร์ครับ
4.สามารถโทรหากันฟรีระหว่างโครงข่าย Skype ด้วยกัน
5.โทรฟรีได้ทั้งเบอร์บ้าน และมือถือครับ*package 350 บาท ทั่วไทย และ 650บาท ทั่วโลกครับ.
ตัวนี้เหมาะแก่ผู้ที่ใช้ Wi-Fi hi-speed internet ครับ ไม่ต้องเปิดคอม เปิดแค่ตัว Wi-Fi ก็ใช้ได้แล้วครับ
ตัวนี้สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 4000-4500-. บาท สนใจสั่งได้ครับ ราคาอาจจะต่ำลงกว่านี้ขึ้นอยู่กับค่าเงินด้วยครับ


ตัวที่สองครับตัวนี้หรับคนที่เล่นเน็ตผ่าน rounter ธรรมดาครับต่อได้กับ brodband ทั่วไปครับ
ตัวนี้ชื่อ Dualphone 3088 cordless skype phone.













Overview.
1.เป็น cordless (ไม่ใช้สาย) Skype phone ครับ
2.ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ครับ ให้ต่อกับตัว base station ของโทรศัพท์เข้ากับ brodband rounter ครับ
3.โทรฟรีหาเพื่อนที่เล่น skype ด้วยกันได้ฟรีครับ
4.ระยะห่างระหว่างตัวฐานกับโทรศัพท์ 300 ม.ในที่โล่ง 50 ม.ภายในบ้านครับ (Indoor)
5.โทรฟรีได้ทั้งเบอร์บ้าน และมือถือครับ*package 350 บาท ทั่วไทย และ 650บาท ทั่วโลกครับ
ตัวนี้เหมาะแก่ผู้ที่ใช้ hi-speed internet แบบต่อกับ rounter ธรรมดาครับ ไม่ต้องเปิดคอม ต่อสายเสร็จก็ใช้ได้แล้วครับ
สนนราคาอยู่ที่ 5,500-6,000 บาท ไม่เกินนี้แน่นอนครับ ขึ้นอยู่กับค่าเงินด้วยครับผม

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

โทรไม่อั้น กับ Skype

*******************************************************************
****************************************************************
โทรฟรี ทั่วไทย ทั่วโลก ตลอด 24 ชม.
Package เหมาจ่าย
โทรทั่วไทยทั้งเบอร์บ้าน-มือถือ เพียง เดือนละ 350 บาท
โทรทั่วโลกทั้งเบอร์บ้าน-มือถือ เพียง เดือนละ 650 บาท*
*เฉพาะประเทศที่ยอมรับให้โทรเข้ามือถือนะครับ
ตรวจสอบ unlimited world ได้ที่
Package นี้สำหรับบุคคลที่ไม่อยากจะสมัครกับ Skype โดยตรงครับคือไม่อยากใช้บัตรเครดิต นะครับ

****************************************************************

ขั้นตอนการสมัครก็ไม่ยากครับ
1.Install program skype.
2.สมัคร account กับ skype ครับ หากไม่ต้องการยุ่งยาก ให้เราสมัครให้ก็ได้ครับ
3.จากนั้นก็เล่นของฟรีได้เลยครับ
3.1 โทรปกติ, Video call แบบเห็นหน้าแจ่มๆ (Hi-speed internet requirement) ไม่มี delay หา Account Skype ด้วยกันฟรี (คล้ายๆ MSN ครับ) ถึงตรงนี้บางคนอาจจะบอกว่าใช้ msn ก้อได้ จะบอกว่าคิดผิดครับ ทั้งคุณภาพเสียง+ภาพ skype เจ๋งกว่าครับ
4. หากต้องการโทรฟรีใน package เหมาจ่ายก็ให้สมัครกับเราครับ

สมัครเองก็ได้ครับ แต่ต้องมีบัตรเครดิตนะครับ หากไม่อยากยุ่งยากก็ให้เราจัดการแทนให้ครับ
****************************************************************

สิ่งที่ต้องมี
1.Computer + Microphone+Headphone
2. Notebook รุ่นใหม่ๆ จะมีกล้องกะ microphone โดยตรงครับ
3.Internet Hi-Speed ซัก 1 Mb ขึ้นไปครับ

****************************************************************
การชำระเงิน
โอนเงินได้ที่
1.หมายเลขบัญชี 044-0151-470 ธ.กรุงเทพ สาขาย่อย โลตัส บางนา
2.หมายเลขบัญชี 783-0066-671 ธ.กรุงไทย สาขาย่อย บิ๊กซี ชลบุรี
****************************************************************
แจ้งการโอนเงิน/ติดต่อสอบถามได้ที่
1.มือถือ (66)086-651-6765
2.โทรฟรี Skype account: pledekchon
****************************************************************